วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2559

น้ำมันชาตรี

น้ำมันชาตรี









             สำรวมจิตลงเป็นหนึ่ง ระลึกถึงพ่อแม่ ครูอาจารย์ องค์บุรพมหากษัตริย์ ตลอดถึงผู้มีพระคุณทั้งหมด ขยับเปลี่ยนจากท่าเทพพนม เป็นท่าถวายบังคม ต่อด้วยพรหมสี่หน้า ย่างสามขุม คุมเชิงครู ดูดัสกร ฟ้อนลองเชิง ฯลฯ...
              “ดีมาก...” คำชมสั้น ๆ จากครู(ครูเขตร์ ศรียาภัย) ทำเอาศิษย์หน้าใหม่ปลาบปลื้มเป็นที่ยิ่ง “อุตส่าห์ฝึกหัดเอาไว้เถอะ ต่อไปจะได้ถ่ายทอดแก่ลูกหลานไว้ไม่ให้สูญหาย สมัยนี้ท่ามวยอย่าง ทุ่มทับ จับหัก เหินเตะ ไม่มีใครเขารู้จักกันแล้ว...”
              “ครูเองก็เสียดายวิชา “ปลุกน้ำมันชาตรี” ทำเท่าไรก็ไม่ขึ้น ถ้าทำขึ้นละคุณเอ๋ย...เก่งเท่าเก่ง ใหญ่เท่าใหญ่ เรียงหน้าเข้ามาเถอะ...” นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ได้ยินคำว่า “น้ำมันชาตรี” ตามวิชาตั้งธาตุ ปลุกธาตุของพาหุยุทธ (มวยไทย)
              “หลวงพ่อ” วัดท่าซุง เล่าว่า “ในชีวิตฉันเห็นคนปลุกน้ำมันชาตรีขึ้นเพียง ๒ รายเท่านั้น หนึ่งคือ หลวงพ่อปาน สองคือ อาจารย์โภคา ต้องปลุกขึ้นถึง ๗ วาระ จึงนับว่าใช้ได้ ฉันเองก็ทำไม่ได้ พระท่านว่ายังไม่ถึงเวลา”
              “ชาตรีนี่เหนือกว่าคงกระพัน คงกระพันถูกตีถูกฟันหนัก ๆ ถึงไม่เข้าก็เจ็บ แต่ชาตรีนี่โดนเท่าไรมันไม่รู้สึกเจ็บ โบราณเรียกว่า “ลูกเบา” คือ ถูกอะไรรู้สึกว่าเบาไปหมด ฉันเห็นกับตาครั้งหนึ่ง ตอนนั้นกำลังเดินตัดทุ่งจะไปเทศน์...”
              “มันเกิดลมหมุนขึ้นมา เห็นคนตกจากยอดตาลลงมาพลั่กใหญ่ ไอ้เราคิดว่าถึงไม่ตายก็คางเหลือง วิ่งเข้าไปหมายจะช่วย มันลุกขึ้นปัดตูดหน้าตาเฉย มือยังถือกระบอกน้ำตาลอยู่เลย ปัดไปบ่นไป “ไอ้ห่...หกไปซะหน่อยได้...”
              “ถามมันดูว่ามีอะไรดี มันบอกว่ามี “ลูกเบา” อีกรายคือเจ้าอั๋น มันจะขึ้นชกมวย เจ้านี่เวลาชกมวยใช้ชื่อว่า “นิตย์” คู่ชกมันเก่งมาก กลัวสู้ไม่ได้เลยมาหาฉัน ฉันขโมยน้ำมันชาตรีหลวงพ่อปานมาหน่อยหนึ่ง ก็ไม่หน่อยล่ะ เกือบครึ่งขวดยานัดถุ์...”
              “ความจริงไม่ได้ขโมยหรอกนะ ท่านใช้ฉันเฝ้ากุฏิ ฉันเลยคิดค่าเฝ้าซะ เอาแตะหัวเจิมให้เจ้าอั๋นมันนิดหนึ่ง มันก็ชึ้นไปชก ชนะน็อคเขาลงมา ถามมันว่าตอนที่เขาชกมันรู้สึกอย่างไร มันบอกว่า เหมือนเขาชกเบา ๆ โดนเท่าไรก็ไม่รู้สึกเจ็บ...”
              อานุภาพอย่างของน้ำมันชาตรี คือ อธิษฐานกินเพื่อรักษาโรคได้ทุกชนิด น้ำมันหลวงปู่ปานที่ทุกคนเรียกว่า “น้ำมันสังฆโรค” ก็คือน้ำมันชาตรีนั่นเอง หลวงพ่อไปพบเหลือก้นขวดอยู่ที่กุฏิหลวงปู่ปาน ไม่มีใครเขารู้จัก เลยเอามาเติมแบ่งให้ใช้รักษาโรคกัน โดยไม่ได้บอกว่าเป็นน้ำมันชาตรี เล่นเอาอาตมากอดขวดโง่อยู่ตั้งนาน...!
              ก่อนเข้าพรรษา ปี ๒๕๓๔ “หลวงพ่อ” บอกว่า “พระท่านอนุญาตให้ทำน้ำมันชาตรีได้แล้ว ท่านจะช่วยให้ปลุกครั้งเดียวใช้ได้เลย ไม่ต้องทำถึง ๗ วาระ...” ว่าแล้วหลวงพ่อก็สั่งน้ำมันงาจากโรงงาน รวดเดียว ๓๐๐ ปีบ...!
              ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๓๔ วันอาสาฬหบูชา หลวงพ่อทำพิธีพุทธาภิเษกที่ศาลา ๒ ไร่ โดยมีมีดหมอและชานหมากมาเข้าปลุกเสกด้วย หลังพิธีหลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า...
              “สมเด็จองค์ปฐม เสด็จมาเป็นประธานเอง พระพุทธเจ้า พระอรหันต์มากันแน่นขนัด กระทั่งสมเด็จองค์ปฐมตรัสเรียกท้าวสหัมบดีพรหมเข้ามาสั่งการ ขนาดท้าวสหัมบดีพรหมยังต้องกราบขอทางแทบแย่ กว่าจะหลีกเข้าได้...”
              “ในชีวิตหลวงพ่อปาน ท่านทำน้ำมันชาตรีแค่ ๒ วาระ ส่วนฉันเองก็คงได้ทำครั้งนี้ครั้งเดียว แต่ไม่เป็นไรนะ... น้ำมันชาตรีนี่เอาไปเติมเท่าไร อานุภาพก็ยังเหมือนเดิม ถ้าเราเติมไว้เรื่อย มันก็ไม่หมดใช่ไหม...? เวลาเติมให้เอาน้ำมันชาตรีเททับน้ำมันงานะ อย่าเอาน้ำมันงาเททับน้ำมันชาตรี ถ้าทำแบบนั้นจะไม่มีผล...” ญาติโยมที่ได้น้ำมันชาตรีไป ต่างก็ปลาบปลื้มใจเป็นที่ยิ่ง นำไปใช้ได้ผลเป็นที่อัศจรรย์ บางคนรถชนกันยับเยินไปทั้งคัน ตำรวจถามว่าศพอยู่ไหน...? เขาตอบว่า “ศพอยู่ไหน ผมก็ไม่รู้...? แต่รถคันนี้ผมขับมาเองครับ...!”
              อาตมาเห็นอานุภาพน้ำมันชาตรีถนัด ตอนไปดูดวงแข (ดวงแข คชภูมิ) หัดยิงปืน พ่อของดวงแขเพิ่งตาย ในครอบครัวก็เป็นผู้หญิงเกือบหมด คนเขาเลยไม่ให้ความเกรงใจ จ้องจะรังแกกันท่าเดียว ล่าสุดเพิ่งจี้เอารถเครื่องใหม่เอี่ยมไป ๑ คัน...!
              ด้วยความเจ็บใจที่ถูกจี้รถไป ดวงแขเลยหัดเล่นของหนัก เอาปืนมาหัดซ้อมยิงกัน บังเอิญปืนก็มาก คนก็มาก เลยเกิดเหตุสยองขวัญขึ้น ขณะที่ดวงแขกำลังฝึกบรรจุกระสุนของ ซีแซด ขนาด ๙ ม.ม. อยู่ จุ๊บ (เบญจพร วิบูลย์พันธุ์) ก็หยิบเอา สมิธ ขนาด ๑๑ ม.ม. ไปลูบ ๆ คลำ ๆ...
              เสียงเกียง (มาลินี ตีรเลิศพานิช) บอกว่า “เซฟไว้แล้ว ลองเหนี่ยวไกดูซิ...” จุ๊บซึ่งไม่ประสีประสากับปืนก็เหนี่ยวไก “เปรี้ยง...!” เสียงดังสนั่นปานฟ้าผ่า จุ๊บตกใจช็อคตาค้าง...! มือยังกำปืนที่ง้างนกร่าน่าหวาดเสียว เพื่อนต้องแย่งมาลดนกก่อน
              “กระสุนไปทางไหน...?” อาตมาถามหาวิถีกระสุน ถ้าไปโดนบ้านใกล้เรือนเคียงบาดเจ็บล้มตาย มีหวังคุกแน่ ๆ “อยู่นี่...” แม่ของดวงขแหยิบหัวกระสุนที่แตกเปลือกแบนแต๊ดแต๋มาชูให้ดู “มาถูกฉันที่ชายโครงนี่...!”
              ทุกคนพรวดเข้าไปดูด้วยความตกใจ แม่ของดวงแขเปิดเสื้อให้ดู เห็นมีรอยผื่นแดง ๆ นิดเดียว “รู้สึกเหมือนตัวแมงมันบินมาชนอย่างนั้นแหละ...” กระสุนฟูลเมตัลแจ๊คเก็ต แรงปะทะ ๔๕๐ ฟุตปอนด์ นักมวยเฮฟวี่เวทยังตีลังกาสามทอด กลายเป็นตัวแมลงบินมาชน...! อะไรมันจะ “ลูกเบา” ได้ขนาดนั้น...?
              ถ้าใครไม่รู้อานุภาพของกระสุนบวกพีขนาด ๑๑ ม.ม. คงจะไม่กระไรนัก แต่อาตมาซาบซึ้งเป็นที่สุด ใครโดนเข้าเต็มภิกขาขนาดนั้น ต่อโลงได้เลยทุกราย ความเร็วต้น ๑,๐๕๐ ฟุต/วินาที จากลำกล้อง ๕ นิ้ว ไม้กระดานขนาดนิ้วครึ่งยังทะลุกลมดิกเป็นสว่านไชเลย อย่าว่าแต่เนื้อคน...!
              “ก็ไม่เห็นมีอะไร นอกจากกินน้ำมันชาตรีวันละช้อนทุกวัน...” แม่ของดวงแขเฉลยให้ทราบ เท่านั้นเองข่าวคราวของน้ำมันชาตรี ที่เหนือกว่ามหาอุตม์และคงกระพัน ก็ระบือลือลั่น จนกลบอานุภาพทางรักษาโรคซะสนิทเลย...!
๓ ตุลาคม ๒๕๓๕
พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ





วิธีการใช้

ก่อนใช้ ขอให้อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ทั้งหมด พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ มีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง เป็นที่สุด

เมื่ออาราธนาแล้ว ให้ตั้ง นะโม 3 จบ และว่า

พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ


เหมือนเมื่อรับศีล ต่อนั้นไปให้ปลุกด้วยคาถานี้


อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ 
จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้ด้วยเถิด





ใช้รักษาโรคได้ทุกอย่าง รับประทานหรือทาก็ได้ สุดแท้แต่โรคนั้นควรรับประทานหรือทา
ข้อสังเกต จะเป็นโรคอะไรก็ตาม เมื่อรับประทานหรือทา แล้วรู้สึกร้อน แสดงว่าน้ำมันนี้รักษาโรคนั้นไม่หาย
ถ้ารับประทานหรือทาแล้วรู้สึกเย็น น้ำมันนี้รักษาโรคนั้นหาย
การรับประทาน รับประทานวันละ 1 ครั้ง ๆ ละ 1 ช้อนชา-กาแฟ
ถ้าให้เป็นมงคล
ให้ ใช้ก้านธูปหรืออะไรก็ได้ จุ่มในน้ำมัน แล้วแตะที่ศีรษะวันละ 1 ครั้ง จะเป็นมงคลทุกอย่างแก่ท่าน ถ้ามียวดยานพาหนะ ให้ทายวดยานพาหนะนั้น (ทาเพียงครั้งเดียว เหมือนที่เขาเจิมกัน)
น้ำมัน นี้เมื่อท่านได้รับแล้ว จงอย่าปล่อยให้หมด หาน้ำมันงา หรือน้ำมันมะพร้าว มาเติมไว้เสมอ ๆ เมื่อน้ำมันนี้ถูกต่อเติมแล้วคุณภาพจะไม่เสื่อม
พระราชพรหมยาน (ฤาษีลิงดำ)
ศิษย์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
26 กค. 34


น้ำมันชาตรี

จาก กระโถนข้างธรรมาสน์
————-
ถาม : …………………………….
ตอบ : น้ำมันสังคโรคก็คือน้ำมันชาตรีที่ หลวงปู่ปาน ท่านทำ ท่านเอามาให้พวกเราใช้ก่อนน้ำมันชาตรีหลายปี ท่านไม่ได้บอกว่าเป็นน้ำมันชาตรี
คือว่าหลวงพ่อท่านกลับไป กลับไป วัดบางนมโค กลับไปเยี่ยมวัดเก่านั่นล่ะ แล้วท่านก็ขึ้นกุฏิเก่าของท่าน ท่านบอกว่าอะไรต่อมิอะไรมันปล่อยรกรุงรังหมด ข้าวของอะไรที่เคยเป็นของหลวงปู่ ที่หลวงพ่อท่านรักษาเอาไว้ดี มันก็ปล่อยกระทั่งฝุ่นจับหยากไย่ขึ้นเละเทะไปหมด
ท่านบอกว่าอะไรก็ไม่ว่าหรอก ไปเจอขวดน้ำมันชาตรีหลงอยู่มันแห้งเกือบจะติดก้นขวดท่านบอกว่าเห็นเข้าก็ ดีใจแทบตาย ก็ไปถามเขาบอกว่าขอได้มั้ย ? เขาบอกว่าเอาไปเหอะขวดเก่า ๆ
น้ำมันชาตรีนี่มีอานุภาพพิเศษก็คือเติมเท่าไหร่ก็ตามอานุภาพยังเหมือนเดิม แต่ท่านไม่ได้บอกเราเพราะว่าอนุภาพของน้ำมันชาตรีถ้าเราสังเกตหลวงพ่อท่านจะเน้นเรื่องรักษาโรค
คำว่าสังคโรคมันแปลว่ารวมทุกโรค
คราวนี้น้ำมันชาตรีนี่ท่านจะเน้นทางรักษาโรค เพราะว่าถ้าไม่เน้นคนมันเอาไปใช้นี่ดีไม่ดีเละ
เพราะว่าเห็นคา ๆ ตามาว่าคนโดน ๑๑ ชนิดที่กระสุนแบนแต็ดแต๋ติดเอวเลย เขาบอกไม่รู้สึกอะไร รู้สึกเหมือนกับตัวเเมงบินมาชน มันได้ขนาดนั้น แล้วลองคิดดูว่าถ้าเกิดคนมันเฮี้ยนขึ้นมามันไม่ตีกันกระจายทั้งบ้านทั้ง เมืองหรือ ใคร ๆ รักจะเป็นนักมวยก็เอา
หลวงพ่อท่านบอกว่าท่านขโมยน้ำมันชาตรีหลวงปู่มาครึ่งขวดยานัตถุ์ขโมยเลย พอหลวงปู่กลับมาถามว่าใครขโมยน้ำมันวะ ? บอกว่าผมเองครับ บอกแล้วมึงขโมยทำไมวะ ? ผมคิดค่าเฝ้ากุฏิครับ (หัวเราะ) ไม่ได้ขโมยค่าเฝ้ากุฏิ เออมีมึงคนเดียวล่ะที่กล้าพูดอย่างนี้
แล้วเสร็จแล้วท่านก็บอกว่าให้ เจ้าอั๋น ลูกศิษย์ที่จะขึ้นชกมวย เจ้าอั๋นเวลาขึ้นชกมวยใช้ชื่อนิตย์ ท่านก็เอาก้านไม้ขีดก้านธูปอะไรนั่นล่ะ จิ้มแล้วเจิมหัวให้มันไป ไปชกชนะน็อคเขามายกสาม ถามมันบอกตอนชกรู้สึกยังไง มันบอกว่าเวลาคู่ต่อสู้เตะมาต่อยมาโดนน่ะโดนจัง ๆ แต่รู้สึกว่ามันเบาเหมือนไม่มีน้ำหนัก
โบราณท่านถึงได้เรียกน้ำมันชาตรีว่า ลูกเบา โดนอะไรมันเบาไปหมด ไม่เบาได้ยังไงล่ะ ฟูลเมตัลเเจ๊คเก๊ตนะ หัวตันน่ะความเร็ว ๙๕๐ ฟูตต่อวินาที นี่แรงปะทะของมันนี่นักมวยปล้ำตีลังกาแล้วโยมผู้หญิงผอม ๆ แห้ง ๆ โดนเข้าไปเต็มเอวแบนเเต๋ติดอยู่อย่างกับประเภทเอาดินเหนียวไปแปะเลยล่ะ นั่นล่ะเขาบอกมันรู้สึกเหมือนยังกะแมงมันบินมาชน เราก็ขอดูแผลมันแดง ๆ หน่อยเดียวเอง เหมือนยังกับเราเอาอะไรไปขว้างแรง ๆ ใส่หน่อยแค่นั้นน่ะ หนังมันเป็นสีแดง ๆ
ถาม : อันนี้นี่คือทาไว้ก่อนหรือว่า ?
ตอบ : เขาบอกว่าเขากินวันละช้อน (หัวเราะ) หรืออาจจะเอาอย่าง พี่อาจินต์ ก็ได้ พี่อาจินต์เขากินวันละแก้ว พักเดียวอ้วนปี๋เลย ใครเห็นรูปเก่า ๆ หลวงพี่อาจินต์ แหม….หนุ่มน้อยเอวบาง เล่นน้ำมันชาตรีวันละเเก้วพักเดียวล่ะ ตันตึ๊กเลย
ถาม : แล้วเวลาเติมนี่ต้องใช้น้ำมันอะไร ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วใช้ น้ำมันมะพร้าว ก็ได้ น้ำมันพืชก็ได้อะไรก็ได้ แต่ว่านิยม น้ำมันงาเพราะกลิ่นมันหอม ใช้น้ำมันชาตรีเติมลงไปในน้ำมันใหม่อย่าเอาของใหม่เททับของเก่า ถ้าของใหม่เททับของเก่าของเก่าจะเสื่อมไปด้วย ให้เอาของเก่าเทใส่ของใหม่ ไม่ต้องว่าคาถงคาถาอะไรทั้งนั้นล่ะเทลงไปเฉย ๆ ด้วยความเคารพก็พอ
ถาม : หลวงพ่อค่ะทำไมน้ำมันงาแพงจังค่ะ ?
ตอบ : ก็มันอาจจะเป็นเพราะคนใช้น้อย เขาผลิตน้อยมันก็ต้องขายแพงหน่อยไม่งั้นมันไม่คุ้มต้นทุนเขาน่ะ
ถาม : แล้วจะใช้….?
ตอบ : จะกินจะทาอะไรก็ได้ แต่ว่าถ้ารักษาโรคลองเอาแตะเนื้อดูก่อน ถ้าหากว่าร้อนรักษาโรคไม่หาย แต่ถ้าหากว่าปกติหรือหากว่าเย็นโรคอะไรก็รักษาได้
ถาม : เฉพาะคนเหรอค่ะหลวงพ่อ ?
ตอบ : ถ้ารักษาสัตว์นี่เราไม่รู้จะลองยังไง มันบอกว่าเย็นได้มั้ยล่ะ ถ้ามันบอกได้ก็เอา
น้ำมัน ชาตรีเป็นวิชาการที่ทำยากที่สุดตามสายของหลวงพ่อ ต้องรอพระท่านอนุญาตเท่านั้นถึงจะทำได้ ไม่งั้นต่อให้คุณได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ อะไรก็ไม่ได้ทั้งสิ้น
หลวงพ่อท่านบอกว่าในชีวิตท่านเห็นแค่ ๒ องค์ที่ทำได้คือ หลวงปู่ปาน กับ อาจารย์โภคาลืมถามท่านไปว่าอาจารย์โภคาอยู่วัดไหนหรือว่าเป็นฆราวาสที่ไหน
สมัยที่เคยได้ยินคำว่าน้ำมันชาตรีครั้งแรกก็ได้ยินจาก ครูเขตร นั้นล่ะ เพราะท่านสอนวิธีตั้งธาตุ ปลุกธาตุ เรียกธาตุเข้าตัวอะไรเสร็จ สอนวิชาเสร็จท่านบอกว่าเสียดายวิชาการปลุกน้ำมันชาตรีท่านทำไม่สำเร็จ ท่านบอกว่าถ้าทำสำเร็จนี่เราจะสร้างแชมป์เปี้ยนโลกกี่คนก็ได้
แล้วเสร็จแล้วพอพระท่านอนุญาตให้ทำหลวงพ่อก็สั่งโรงงานเลย ผลิตมา ๓๐๐ ปี๊บ เข้าพิธีรวดเดียว ๓๐๐ ปี๊บ เพราะฉะนั้นออริจินอลอย่างน้อยก็มี ๓๐๐ ปี๊บ แต่ว่าจริงแล้วมันเติมเท่าไหร่ก็ได้
แล้วท่านก็บอกว่าในชีวิตของข้า หลวงปู่ปานท่านทำได้ ๒ ครั้ง ตัวข้าเองอาจจะทำได้ครั้งเดียวเท่านั้น เพราะว่าต้องรอพระท่านอนุญาต ปรากฏว่าท่านทำได้ครั้งเดียวจริง ๆ ไม่ทันจะทำใหม่ก็มรณภาพซะเสียก่อน
น้ำมันชาตรีไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร ชาตรีมันก็เหนือกว่าอื่นใด ขืนไปบอกมันว่าชาตรีใช้ได้ขนาดนั้นรับรองมันตีเขากระจายหมดไม่ต้องกลัวใคร หลวงพ่อท่านถึงได้เน้นไปทางรักษาโรค รู้แล้วอย่าเอ็ดไป (หัวเราะ) ไม่งั้นเดียวมันไม่หามามั่ง ต่างคนต่างต่อยครบ ๆ ยกเหนื่อยลิ้นห้อยมันไม่มีใครแพ้ใครชนะ
ถาม : ของทุกอย่างมันมั่นใจกับตัวของผู้ใช้ด้วยหรือเปล่า ?
ตอบ : อันนั้นมีส่วน เรื่องของน้ำมันชาตรีนี่มันประเภทที่เรียกว่านอกเหตุเหนือผลคือถ้าคุณใช้อานุภาพก็มี
ถาม : แล้ววัตถุมงคลด้วยรึเปล่าค่ะ ?
ตอบ : วัตถุมงคลนี่สำคัญอยู่ที่กำลังใจ ถ้ากำลังใจเปิดรับมากเท่าไหร่มีผลมากเท่านั้น แต่ว่าน้ำมันชาตรีนี่ ประเภทที่เรียกว่าคำว่าชาตรีนี่คงตั้งใจสงเคราะห์โดยตรงละมั้ง หลวงพ่อท่านบอกว่าก่อนหน้านี้ ท่านเสกของเสกอะไรก็มีชาตรีเหมือนกันแต่ซุก ๆ อยู่ข้างใน นี่คราวนี้ว่าตั้งแต่ยุคนั้นมานี่ชาตรีนำหน้า เตรียมไว้ให้ตีกับชาวบ้าน
ถาม : เรื่องที่ว่าเปิดรับนี่หมายความว่า…?
ตอบ : คือ จิตใจของเราเคารพ มีการอาราธนาเป็นปกติ เป็นสมัยของเรานี่ไม่ต้องเสียเวลาเสกน่ะ ถึงเวลาก็กรอกเติมไปเรื่อย ตอนนี้ที่ วัดท่าขนุน นี่ ท่านเอ ทำแจกเลย เป็นไงจ๊ะยังมาโชว์ปานแดงอยู่อีกไม่ดีขึ้นใช่มั้ย ? มันเหมือนกับรอยสักสวยดี เขาเป็นทั้งตัวเขาบอกว่ารักษาแต่หน้าสวยไว้ก่อน นางขุชชุตรา เป็นคนหลังค่อมเพราะว่าไปทำท่าหลังโก่งเลียนแบบพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ท่าน หลังค่อมของเราอาจจะไปหัวเราะเยาะพระที่ท่านเป็นขี้กลากล่ะมั้ง ?
——————————–


ผลของน้ำมันมนต์

ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง น้องชายของลูกชื่อ "นายสมนึก แดงสี" เป็นคนรับจ้างขับมอเตอร์ไซด์ในซอย ปรากฏว่าเมื่อไม่นานมานี้ ขับไปสวัสดีกับปิกอัพ ผลปรากฏว่าสลบไสล ตื่นมาก็กลายเป็นคนอัมพาตทั้งเนื้อทั้งตัว บังเอิญลูกมีโอกาสไป วัดท่าซุง คราวงานเป่ายันต์เกราะเพชร เช่าน้ำมันมนต์ หลวงปู่ปาน ที่วัดมาขวดหนึ่ง พอทาปุ๊บปรากฏได้ผลคือ ขณะนี้แกนั่งได้แล้ว พูดจาเป็นปกติ ทีนี้ต่อไปลูกจะเอาอีกขาดหนึ่ง แต่จะเอาจริง ๆ

หลวงพ่อ : จริง ๆ เบาไป ต้องเเกล้ง ไอ้เเกล้งมันหนักกว่าจริง ๆ เกล้งให้เดินได้ทำงานได้อยู่เป็นปกติ แล้วต่อไปเอาอีกขวดหนึ่งเกล้งให้รวย อีกขวดหนึ่งแกล้งให้ถูกหวยทุกงวด ( หัวเราะ) ต้องแกล้งมันแรงกว่าธรรมดา ๆ จริง ๆ มันเบา ท่านอนุโลมนะ เกรงจะชอกช้ำ ถ้าแกล้งไม่กลัวช้ำ มีความเข้มแข็ง

ผู้ถาม : นี่เขาเล่าให้ฟังนะ หมดกันเป็นหมื่น ๆ แหม....แค่น้ำมันขวดเดียว สิบบาท ยี่สิบบาทไม่ได้ ไม่เป็นที่พอใจ

หลวงพ่อ : ความจริงจ่ายไม่ครบนะ น้ำมันเขาแพงกว่านั้น (หัวเราะ) ใช่ถ้าหวยก็ราคาแพง ถ้าไม่หายก็เฉย ๆ ไว้ เดี๋ยวเขาจะด่าเอา (หัวเราะ)

_________________________________________

ผลของน้ำมันชาตรี

ผู้ถาม : กราบเท้านมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่ามันที่ ๒๖ ต.ค . ๒๕๓๔ เดือนที่ผ่านมานี้ ผมได้มีโอกาสขี่จักยานยนต์ไปด้วยความรวดเร็ว เพราะว่าจะซื้อยามาให้คนป่วยที่บ้าน ด้วยความเร็วปรากฏว่า รถจิ๊ปคันหนึ่งก็มาด้วยความเร็ว มันหับผมสวัสดีกันกลางทาง ปรากฏว่าล้อรถของผมน่ะ ข้างหน้าข้างหลังอยู่กันคนละทางเลย คนมาดูนึกว่า เละตุ้มเป๊ะแล้ว! ปรากฏว่าผมลุกขึ้นมาปัดแข้งปัดขา เดินด้วยความสบายใจไม่เป็นอะไรเลย ตำรวจมาถามว่า
" คุณ! ไอ้คนที่ตายตรงนี้ไปอยู่ที่ไหน?"
ผมก็ตอบว่า "ไม่รู้ครับ แต่ไอ้คนที่ขี่รถคันนี้คือผมเอง"
ตำรวจถามผมว่า "เอ๊งเป็นลูกศิษย์ใครมีดีอะไร ?"
ผมตอบว่า "ผมเป็นลูกศิษย์ น้ำมันชาตรี"
ถามว่า "พระองค์นี้อยู่วัดไหน ?"
ผมนึกไม่ถูกเลยไปบอกเขาว่า "วัดท่าบุง"
หลวงพ่อ : (หัวเราะ) ใช่ได้ ๆ ๆ ดีเขาไม่บอกวัดขวดเอานะ

ผู้ถาม : แล้วบอกว่าอยู่จังหวัดนครสวรรค์

หลวงพ่อ : (หัวเราะ) ได้เรื่อง! วัดท่าบุง นครสวรรค์ ใช้ได้

ผู้ถาม : ถ้าหากว่าตำรวจคนนั้นไปเอา น้ำมันชาตรี คงไปหาทั้งจังหวัด แล้วก็
ตำรวจเขาเลยบอกว่า จะขอจดที่อยู่วัดไว้ ผมก็นึกได้ตอนหลังว่าอ่านหนังสือแล้วไม่ใช่ ผมก็นึกวิตกว่า ตำรวจคนนั้นคงไปหาที่นครสวรรค์แล้วก็สุดท้ายขอกราบขอบพระคุณ น้ำมันชาตรี ของหลวงพ่อด้วย ผมมีเทคนิคในการใช้ดังต่อไปนี้ครับ
ตืนเช้าขึ้นมารีบกินก่อน มันจะชนเมื่อไหร่ผมไม่กลัวแล้ว แปลกจริง ๆ นะครับ ที่หลวงพ่อเคยพูดอะไร เบา อะไรนะ ?
หลวงพ่อ : ชาตรีนี่เขาเรียก "ลูกเบา" อันเดียวกัน เวลาถูกแล้วมันรู้สึกเบา ไม่หนัก รู้จักลูกเบาไหม ?
" ..ถ้าบุคคลใดกำลังใจไม่เข้มแข็ง ก็ให้นึกถึงน้ำมันมนต์แล้วว่า อิติปิ โส ตามนั้น แล้วก็สวด นะมะพะธะ เหมือนกัน เอาน้ำมนต์มาทาที่ศีรษะเล็กน้อยอย่างนี้ทุกวัน ทำทุกวัน กฏของฏรรมจะคลายตัว.."



พุทธานุภาพน้ำมันชาตรี ของคุณจิราภรณ์ สุทธะพินธุ  (จากหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๓ หน้า ๕๘๙)


     ข้าพเจ้ามึความเคารพต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งชีวิต  ตลอดจนองค์หลวงปู่ปานและหลวงพ่อพระราชพรหทยานตลอดมา และหวังเป็นที่พึ่งสูงสุดในชีวิต จนกว่าจะเข้าพระนิพพานเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญ อันทำข้าพเจ้าเป็นทุกข์ทางกายและทางใจ  เมื่อข้าพเจ้าน้อมจิตขอต่พระองค์ท่านช่วยเหตุการณ์ทั้งหลาย จะได้รับการแก้ไขจากพระองค์ท่านทันที ทุกพระองค์มีพระคุณต่อข้าพเจ้ามากเสมอมา

     ข้าพเจ้าเกิดมาชาตินี้ พบทุกข์มากมายเหลือเกิน เมื่อหลวงพ่อป่วยข้าพเจ้าก็มักจะป่วยพร้อมๆ กับท่าน และบางครั้งโรคของข้าพเจ้า ก็คล้ายกับโรคที่สร้างความทรมานให้กับหลวงพ่อ ข้าพเจ้ามีอาการของโรคหลอดเลือดมาเลี้ยงหัวใจตีบตัน มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่มเวลามีอาการมากๆ เหมือนมีเข็มแหลมสักร้อยเล่มมาแทงหัวใจพร้อมๆ กัน สร้างความเจ็บปวดทรมานมากมือและแขนซ้ายจะกลายเป็นสีม่วง (Cyanosis) เพราะขาดเลือดมาเลี้ยง อาการเช่นนี้เกิดบ่อยครั้งตลอด ๒ ปีที่ผ่านมา...ตรวจเครื่องคอมพิวเตอร์ดูการทำงานของหัวใจ ผลออกมาก็เกิดอาการจริง รัปประทานยาหมออากรก็ทุเลาแต่ไม่หายขาด

     เมื่อข้าพเจ้าอารารธนาน้ำมันชาตรี ซึ่งสมเด็จองค์ปฐม ทรงเป็นประธานมีหลวงปู่ปานในที่สุดได้เมตตาทำไว้ให้ ได้รับประทานวันละ ๑ ช้อนกาแฟครบ ๗ วัน ข้าพเจ้าครบกำหนด ต้องตราจเช็คคอมพิวเตอร์พอดีครั้งนี้อาการต่างๆ ไม่แสดงผลหัวใจปกติทุกอย่าง ระหว่างนอนพัก ดูอาการเปลี่ยนแปลงข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า จิตขณะนั้น มีอาการหนักหน่วงมาก เหมือนมีอะไรอยู่ในตัวอยากจะหลุดออกจากกายเนื้อเหลือเกิน ตัดสินใจว่าอะไรจะเกิดก็เกิด สักครู่มองเห็นกลุ่มควันขาวจางๆ ลอยออกจากหน้าอก รวมตัวเป็นเทวดา ลอยอยู่เหนือข้าพเจ้า สักครู่ก็หายไป แพทย์ได้อ่านผลคราวนี้บอกว่าหายแล้ว ไม่มีอาการแสดงผลทางคอมพิวเตอร์เลย จนแพทย์บอกว่าหายเองได้อย่างไร ยาที่ให้ทานก็ไม่มีประสิทธิภาพ ในด้านการรักษาขยายหลอดเลือดได้ขนาดนี้ข้าพเจ้าก็ดีใจมากที่ได้รับพระกรุณาจากพระองค์ท่านเช่นนี้  ถ้าพระองค์ไม่เมตตา ทำน้ำมันชาตรีขึ้นมาเพื่อสงเคราะห์ลูกหลานพุทธบริษัท...ข้าพเจ้าคงต้องทุกข์ทรมาน และคงต้องเจ็บตัวนอนให้หมอผ่าตัดอย่างแน่นอน  ชั่วชีวิตนี้ลูกจะหาที่พึ่งใดทีประเสริฐกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว พระพุทธคุณของสมเด็จองค์ปฐมเป็นต้น พระธรรมคุณ พระอริยะสังฆคุณ หลวงปู่ปานหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นที่สุดหาที่สุดประมาณมิได้เช่นนี้เอง...สาธุ

     เหตุที่ผมไม่นำเรื่องนี้ลงในกระทู้ที่เกี่ยวเรื่องนี้โดยตรง เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ประทับใจมาก โดยเฉพาะช่วงการตัดสินใจว่า อะไรจะเกิดก็เกิด หรือ อยากหลุดออกจากกายเนื้อเหลือเกิน เห็นกลุ่มควันสีขาวลอยออกจากหน้าอกกลายเป็นเทวดา...นอกจากนี้ความเห็นส่วนตัวผม ผมคิดว่า ท่านผู้นี้มีจิตมั่นคงในพระรัตนตรัยสูงมากและการตัดสินใจเด็ดขาดมาก โดยเห็นทุกข์และไม่ห่วงร่างกายเนื้อ



 เฉลียว อาณาวรรณ --- น้ำมันชาตรี

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ได้ทำพิธีพุทธาภิเษกน้ำมันชาตรีไว้สงเคราะห์ลูกหลานเพื่อใช้ในการรักษาโรค และอีกอย่าง
คือเรื่องลูกเบา ถ้าถูกอะไรทุกอย่างเบาหมดก่อนใช้ให้อาราธนาพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ พรหม
เทวดา ครูบาอาจารย์ มีหลวงพ่อปานวัดบางนมโคเป็นที่สุด แล้วตั้งนะโม 3 จบ และว่า

หลวงพ่อท่านให้แตะที่ศีรษะทุกวันๆละหนึ่งครั้ง ดิฉันได้ทำตามหลวงพ่อแนะนำตลอดมา หลังจากเสกน้ำมันชาตรีได้ไม่กี่เดือน
ขณะที่ดิฉันกำลังนั่งแยกเศษสตางค์อยู่ในห้องด้านหลัง ห้องที่หลวงพ่อรับแขกที่บ้านสายลม กล่องน้ำมันชาตรีที่วางซ้อนกันไว้สูง
ได้ล้มลง มีกล่องหนึ่งหล่นกระแทกกลางหลังดิฉัน รู้สึกว่าหนักและแรงมาก
ใจก็นึกถึงน้ำมันชาตรีที่เจิมศีรษะทุกวันและภาวนา  นะโมพุทธายะ 
โดยไม่สนใจเสียงที่ถามว่า เป็นอะไรหรือเปล่า ภาวนาสักครู่จนรู้สึกเบาโล่ง จึงลืมตาขึ้นทำงานต่อไปได้

ครั้งที่สอง ดิฉันหกล้มที่ลานจอดรถ 100 ไร่ มือซ้ายยันลงไปที่พื้น ทุกคนที่ไปด้วยถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ขณะนั้นไม่รู้สึกว่าเจ็บ
ส่วนไหนเลย จนมาถึงห้องพักนั่งคอยเพื่ออาบน้ำ เริ่มรู้สึกปวดที่ข้อมือซ้าย ความปวดทวีขึ้นตลอดเวลา คิดว่าปวดมากๆอย่างนี้ข้อ
มือคงหักหรือร้าว แล้วจะทำอย่างไรดี ใจก็คิดถึงน้ำมันชาตรีทันที ดิฉันหยิบน้ำมันชาตรีมาอธิษฐาน ทาลงไปบริเวณที่ปวด ความรู้
สึกที่ปวดอย่างมากนั้นหายไปทันที

ครั้งที่สาม ราวต้นปี 2545 ดิฉันเดินอยู่บนขอบเทอเรส (เดินไปดูสุนัขที่นอนป่วยอยู่) พลันเท้าเดินไปในอากาศ ร่างกายตกลงไป
ข้างล่างสูงประมาณฟุตกว่า ไม่มีความรู้สึกว่าส่วนใดของร่างกายกระทบพื้นปูนซีเมนต์เลย เบาไปหมด เหตุการณ์ที่ดิฉันได้ประสบ
และปลอดภัยตลอดมาก็เพราะน้ำมันชาตรีของหลวงพ่อสงเคราะห์ถ้าทุกคนเชื่อมั่นและปฏิบัติตามที่หลวงพ่อแนะนำและสั่งสอน ก็
จะปลอดภัยเช่นเดียวกัน

จากหนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๕

พิมพ์โดย : คุณศิริพร(ตุ๊กตา) sisi_gilly










วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เรื่องของการใช้ไสยศาสตร์

เรื่องของการใช้ไสยศาสตร์

 เขาใช้ปกติจนเราไม่รู้ว่าเขาใช้ ลักษณะของสมัยก่อนอย่างพวกการแสดง พวกลิเก พวกโขน พวกโนราห์ พวกอะไร เขาจะใช้ไสยศาสตร์เป็นปกติ โดยเฉพาะวงที่ประชันขันแข่งกันยิ่งใช้กันหนัก เพราะฉะนั้นบรรดานายวงจะต้องมีความรู้ รู้ทั้งผูกรู้ทั้งแก้ ไม่อย่างนั้นแย่สู้เขาไม่ได้ และก็เรื่องของการค้าขายก็เหมือนกัน มันจะอยู่ลักษณะที่ว่านั่นแหละ เสกธงปักไว้คนมองเห็นธงต้องเข้าไป หรือไม่ก็เสกกลองตีไป เสียงกลองดังได้ยินถึงใครคนนั้นต้องเข้าร้าน มันจะมีของมันอยู่ บางอันมันใช้ของอาถรรพ์อย่างเดือยงูเหลือม เคยได้ยินไม๊ ?
              งูเหลือมนี่มันไม่ใช่มีกันทุกตัวนะ มันมีบ้างไม่มีบ้าง งูเหลือมที่มีเดือยถึงเวลามันขี้เกียจ มันจะเอาเดือยไปขีดวงเอาไว้แล้วมันก็นอน สัตว์อะไรเดินเข้าไปในวงนั้นแล้วจะออกไปไม่เป็น จะอยู่ตรงนั้นรอให้มันไปกิน คราวนี้พวกชาวบ้านถ้าหากว่าจับงูเหลือมได้ ตัวมีเดือยก็ซวย เพราะอย่างน้อย ๆ แกงกินยังไม่พอ มันยึดเดือยไปด้วย แล้วมันก็จะเอาไปขีดหน้าร้านขายของ ถ้าไม่เข้าไปซื้อของมันก็อย่าหวังเลยว่าจะหลุดไปได้ แต่ว่าบางทีเคยสงสัยว่าทำไมเข้าบางร้านแล้ว เราจำเป็นต้องซื้อของมันจนได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้นึกอยากซื้อ เข้าไปแล้วก็เกิดอยากซื้อขึ้นมาเฉย ๆ มีนะ
              อย่างประเภทสถานเบาก็นางกวัก ของญี่ปุ่นเขาแมวกวัก มันจะมีของเขาอยู่ เพราะฉะนั้นไม่ว่าชาติไหนภาษาไหนอะไรก็ตาม เรื่องของไสยศาสตร์มันคู่กับโลก ไสยศาสตร์กับพุทธศาสตร์มันของคู่กัน พุทธะ แปลว่า ตื่น ไสยะ แปลว่า หลับ ดังนั้นพุทธศาสตร์เจริญแค่ไหนไสยศาสตร์ก็จะเจริญแค่นั้น เพียงแต่ว่าของเรานี้ให้มันหากินถูกต้องตามศีลตามธรรมแล้วกัน หากินถูกต้องตามศีลตามธรรมมันไม่มีปัญหา บางคนเขาก็เลยใช้คำว่า ไสยเวทกับพุทธาคม คือเขาจะแบ่งออกเป็นว่า พวกใช้พุทธศาสตร์กับพวกใช้ไสยศาสตร์ แต่จริง ๆ แล้วมันแยกกันไม่ออกหรอก
              โดยเฉพาะสายของหลวงพ่อเรานั่นแหละชัดที่สุดเลย ถ้าหากถามว่าของหลวงพ่อนี่เริ่มต้นจากอะไร ต้องบอกว่าเริ่มต้นจากไสยศาสตร์ โดยเฉพาะที่ท่านสอนอาตมานี่คาถาสารพัดสารเพเลย ตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กรุ่น ๆ อยู่โน้น ไปถึงก็ เอ้ย...ไอ้หนูคาถาบทนี้ดีนะลูก ลองไปทำดูนะ อย่างน้อยต้องภาวนาวันละครึ่งชั่วโมง และก็อย่าลืมรักษาศีลให้บริสุทธิ์ด้วย ภาวนาแล้วมันจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ได้อย่างนั้นได้อย่างนี้ เราก็ทำของเราไป พอได้ผลก็วิ่งโร่หน้าบานไปรายงานท่าน ท่านก็ เออ...เอาบทนี้ไปลูกลองทำดูซิจะได้ผลมั้ย ? กว่าจะรู้โดนท่านหลอกให้ก็ภาวนาจนติดแล้ว พอถึงเวลาท่านแนะนำให้เข้ามาเรื่องของสมถวิปัสสนา มันกลายเป็นของง่ายไปหมด และอีกอย่างหนึ่งเรื่องของไสยศาสตร์นี้มันเห็นผลเร็ว เห็นผลง่าย มันก็เลยทำให้มีแรงจูงใจที่อยากจะทำ ในเมื่อมันทำไปทำมามีครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้ดีท่านตีกรอบเอาไว้แล้วอย่างไร เราก็ไม่หลุดออกจากกรอบนั้นแน่ พอถึงวาระถึงเวลาที่เหมาะสมท่านโยนกรรมฐานมาให้ ก็กลายเป็นของง่ายสำหรับเรา เพราะพื้นฐานมันแน่นซะแล้ว
              เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าใครบอกว่าสายหลวงพ่อฤๅษีมาไสยศาสตร์ รับไปเลย...ใช่เลย...คุณไม่ต้องว่าผมก็รู้เอง เพียงแต่ว่าของเรามันเอามาปรับใช้เป็น อันไหนเหมาะ อันไหนไม่เหมาะ ควรไม่ควรอย่างไร มีคาถาบางบทตั้งแต่ได้มาไม่เคยใช้เลย เพราะว่ามันไม่จำเป็นสำหรับเรา แต่มันอาจจะจำเป็นสำหรับคนอื่น กระทั่งพวกสีผึ้งหลวงพ่อ
              สมัยก่อนหลวงพ่อท่านบอกว่า เวลาข้าไปเจรจาเพื่อให้คนเขาบริจาคสร้างอันโน้นสร้างอันนี้ ข้าก็ใช้สีผึ้งนี่แหละ ถ้าพูดขอเขาเท่าไหร่เขาก็จะให้เท่านั้น แต่เราต้องรู้ขนาดหลวงพ่อนะ รู้ว่าเขามีให้ ให้แล้วเขาไม่เดือดร้อน ถ้าอย่างนั้นน่ะได้ไม่ใช่ว่าส่งเดชไปเรื่อย แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าเรามันไม่เห็นความจำเป็นตรงจุดนั้น ของหลวงพ่อนั้นงานพระท่านสั่งท่านถึงทำ แต่ของเรานี่ถ้ามีเงินเมื่อไหร่เราต้องทำ เพราะฉะนั้นเรื่องอะไรจะมีให้มันเหนื่อย ก็เลยประเภทนั่งเอ้อระเหยลอยชายอยู่ทุกวันนี้ ใครให้ไม่ให้เรื่องของมันไม่เกี่ยวกับข้า ยิ่งให้ข้าก็ยิ่งเหนื่อย มันก็เลยไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปใช้ แต่ว่าสำหรับญาติโยมที่ทำมาหากินอยู่อะไรอยู่เรื่องนี้มันจำเป็น ในเมื่อมันจำเป็นก็เลย เออ...มันน่าจะมีสี สีผึ้งเขามีคาถากำกับมีอะไรด้วย ถ้าหากว่าใช้กับคนที่อายุมากกว่าอาวุโสกว่าให้ใช้สีด้วยนิ้วโป้ง ถ้าเสมอกันให้ใช้นิ้วชี้ ถ้าอ่อนกว่าให้ใช้นิ้วกลาง อะไรอย่างนี้
              แล้วอย่างเจ้าตู่มันเล่นประเภทที่ว่าจีบสาวแข่งกันเพื่อนมันก็ใช้ สมัยก่อนมันน่าเตะมั้ยล่ะ ? ตอนนี้แรดมากเลยสึกไปแล้ว มีการมารายงานอีก ผมขอครั้งเดียวครับ บอก...เอ็งขอหลายครั้งก็เจอตีน ขนาดจีบสาวมันยังใช้ มันบอกว่าประเภทเพื่อนเขามั่นใจว่ายังไง ๆ ก็เสร็จเขาแน่ไม่เปลี่ยนใจหรอก ผมก็เลยอยากลองดูว่ามันจะเปลี่ยนมั้ย ? ไม่ควรทำ ของพรรค์นี้มันจะอยู่ในลักษณะที่เรียกว่าอย่างน้อย ๆ ต้องมีมโนธรรม
              อย่างเช่นว่า หมอเสน่ห์สมัยก่อนเวลาเขาทำเสน่ห์เล่ห์กลให้คนรักกันอะไรกันนี่ เขาบังคับเลยว่าต้องเลี้ยงดูเขา ทอดทิ้งไม่ได้ ทิ้งขว้างไม่ได้เด็ดขาดเลย แสดงว่าคนเขาก็มีจรรยาบรรณของเขาอยู่ สมัยนี้มันไม่ค่อยมี มันมีวิธีการอะไรบางอย่างมันเหมือนอย่างกับว่าชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ได้เลย
              เมื่อพรรษาที่แล้วทางวัดท่าขนุน ท่านเจ้าคุณรองจังหวัดวัดท่ามะขาม ท่านสั่งให้ตั้งสำนักบาลีวัดท่าขนุน ท่านให้ไปขออนุญาตเจ้าคณะจังหวัดเอง อาจารย์สมพงษ์แกก็สั่นนะสิ ไม่รู้จะโดนตีนหรือเปล่า ก็เลยไปกับแกด้วย ถามอาจารย์สมพงษ์ว่าคุณจะเอาแบบไหน ? ประเภทให้แกด่าเช็ดมาเลยมั้ย หรือเอาแค่หอมปากหอมคอ หรือว่าให้อนุญาตแต่โดยดีไม่มีปากไม่มีเสียงเลย ผมทำได้ อาจารย์สมพงษ์บอก ก็แล้วแต่อาจารย์จะเมตตาแล้วกัน เราก็บอก เออ ถ้าหากว่าแล้วแต่ผมจะเมตตา ผมก็เอาประเภทง่ายที่สุดคือไปถึงให้ท่านพยักหน้าอนุญาตโดยไม่ต้องว่าอะไรเลย พอถึงเวลาเราไปรายงานเสร็จ ท่านก็เออ ๆ อนุญาตให้ทำได้เลยไม่ต้องขอก็ได้ ก็บอกอาจารย์สมพงษ์ว่า ถ้าวันไหนคุณมั่นใจในตัวเองว่ามีกำลังใจมั่นคงพอ ไม่เคลื่อนไปตามอำนาจของโลกธรรมใน รัก โลภ โกรธ หลง อะไรต่าง ๆ แล้ว คุณต้องการวิธีการผมจะสอนให้ ไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้าคนเอาไปใช้ผิดมันจะน่ากลัวมาก พูดอย่างไรคนอื่นจะมีแต่ตามเราอย่างเดียว เราต้องการอย่างไรเขาจะตามใจอย่างเดียว จะไม่มีการปฏิเสธ น่ากลัว
              เพราะฉะนั้นของเรามันควรจะอยู่ในระดับที่เรียกว่า จะต้องรักษากำลังใจตัวเองให้ได้ในระดับหนึ่งถึงสมควรที่จะศึกษา เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่เหมือนกับดาบ ๒ คม ถ้าใช้ผิดมันจะเป็นโทษ แต่ถ้าใช้ถูกมันก็มีคุณ ศึกษามันไม่เสียหลายหรอก แต่ขณะเดียวกันถ้าไปหลงงมงายอยู่กับมันก็เสียเวลาปฏิบัติ

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2559

“ทองเลน” พลังจักรวาลขั้นสูงสุดแห่งทิเบต เปลี่ยนพลังจักรวาลด้านลบเป็นบวก

“ทองเลน” 

พลังจักรวาลขั้นสูงสุดแห่งทิเบต เปลี่ยนพลังจักรวาลด้านลบเป็นบวก



จากบันทึกของท่าน “โซเกียล รินโปเช” ได้กล่าวถึงการทำสมาธิแบบ “ทองเลน” อันเป็นการทำสมาธิเพื่อเปลี่ยนพลังลบเป็นบวกได้อย่างอัศจรรย์ ท่านโซเกียล รินโปเช ได้ศึกษาสมาธิแบบทองเลนนี้ มาจากท่าน “เกะเช เชคาวา” อีกทีหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้นำวิชชานี้ไปเผยแพร่จนเป็นที่ยอมรับ โดยเริ่มต้นจากการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเรื้อนที่ไม่มีทางรักษาได้ ด้วยการฝึกสมาธิแบบทองเลนนี้ กลับทำให้พวกเขาหายจากโรคเรื้อนได้อย่างน่าอัศจรรย์ นำไปสู่การยอมรับสมาธิแบบนี้ในเวลาต่อมา ท่านเกะเช เชคาวา นอกจากจะช่วยผู้ป่วยโรคเรื้อนแล้ว ยังปรารถนาที่จะตกนรก แทนที่จะขึ้นสวรรค์ ท่านได้ตั้งความปรารถนาซ้ำๆ กันเสมอว่าขอให้ตนเองได้ตกนรก เพื่อฉุดช่วยสรรพสัตว์ ดังนั้น ทองเลน นอกจากจะสามารถเปลี่ยนพลังจักรวาลด้านลบ เป็นพลังจักรวาลด้านบวก อันส่งผลให้โลกมีพลังด้านดีมากขึ้นแล้ว ยังสามารถทำให้ โรคที่รักษาไม่หาย หายได้อีกด้วย ดังนี้ ทองเลน จึงเป็นวิชชาขั้นสุดยอด ที่รวมทั้งพลังจักรวาลในด้านการรักษา และการใช้พลังเปลี่ยนแปลงพลังด้านลบไปในตัวด้วย บทความฉบับนี้ ผู้เขียนได้ดัดแปลงวิธีฝึกเล็กน้อย จากหนังสือเรื่อง “ประตูสู่สภาวะใหม่ คำสอนทิเบตเพื่อช่วยเหลือผู้ใกล้ตายและเตรียมตัวตาย” ซึ่งเขียนโดย พระลามะ “โซเกียล รินโปเช” แปลโดย “พระวิศาล วิสาโล” เพื่อให้แต่ละท่านสามารถฝึกได้ก้าวหน้า แม้มีพื้นฐานมาจากสมาธิแบบใดก็สามารถต่อยอดเป็นทองเลนได้ ทั้งนี้ ผู้เขียนเอง ได้เคยอธิษฐานขอ “อภิญญาดูดกรรม” เพื่อดึงดูดกรรมของมวลสัตว์มาสู่ตนเอง ให้กรรมของมวลสัตว์เบาบางลง ผู้เขียนได้ศึกษาสมาธิหลายวิธี ตั้งแต่กรรมฐานแบบเถรวาทและมหายาน ตลอดจนศาสตร์การบำบัดด้วยออร่า (ลักษณะเดียวกันโยเร) ช่วงท้าย ผู้เขียนได้ฝึกปรือวิชชา พลังธรรมจักร และต่อด้วยพลังจักรวาล ได้พบอาจารย์ด้วยเหตุการณ์ประหลาด คือ อาจารย์หญิงมารอข้าพเจ้าที่สถานธรรม ท่านบอกว่าเบื้องบนสั่งให้มารอ ทั้งๆ ที่ไม่เคยพบกันมาก่อน แล้วก็ได้พากเพียรฝึกวิชชาจากท่าน ที่เรียกว่า “ธรรมจักรวาล” จนสำเร็จผล ในวิชชาธรรมจักรวาลนี้ ผู้เขียนได้ทดลองใช้พลังดึงคุณไสย ออกจากตัวผู้อื่น จนผู้เขียนมีอาการเจ็บปวดร่างกาย และใช้สมาธิที่เล่าเรียนมาขจัดพลังดำนั้นออกไป หลายครั้ง ไม่สามารถขจัดได้หมด ยังเหลือค้างในร่างกาย จำต้องขอให้อาจารย์ช่วยเหลือ เพราะเนื่องจากไม่ได้ฝึกวิธีการขจัดมาอย่างชำนาญเท่ากับอาจารย์ ผู้เขียนมีความคิดว่า คนใกล้ตายนั้นน่าสงสาร และเราน่าจะช่วยสงเคราะห์เขาได้มาก จึงได้พบหนังสือของท่านโซเกียล รินโปเช เล่มนี้ จากนั้นจึงศึกษาทองเลน และฝึกปรือ รู้สึกได้ว่าเข้ากับจริตของตนเองมาก จึงได้นำมาเผยแพร่ดังนี้


ทองเลน คือ อะไร?
ทองเลน คือ สมาธิ ที่ช่วยดึงพลังจักรวาลด้านลบ มาเปลี่ยนเป็นพลังจักรวาลด้านบวก ด้วยหลักการให้และรับ กล่าวคือ เราจะรับแต่สิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในตัวเรา เพื่อแผ่สิ่งที่ดีงามในตัวเราออกไปเท่านั้น เราจะไม่ต้องการรับสิ่งดีใดๆ เราจะให้แต่สิ่งดีๆ ที่เรามีแผ่ไปไพศาล เพื่อเก็บพลังจักรวาลด้านลบเข้ามาในตัวเราทีละน้อย ลดพลังด้านลบลง รักษาสภาวะของโลกให้ดีขึ้น แล้วแผ่พลังงานด้านลบที่มีอยู่ในตัวเราออกไปแทน โลกและจักรวาลก็จะมีแต่พลังด้านบวกที่ดีงาม ทั้งนี้ ระบบจิตวิญญาณ (ลมปราณ) ในร่างกายของผู้ฝึกต้องมีความพร้อมมากพอที่จะกระทำได้ (มีพื้นสมถะ) หาไม่เช่นนั้นแล้ว พลังด้านลบ เช่น พลังมารจะครอบงำจิตใจของผู้ฝึก จนทำให้ผู้ฝึกกลายเป็นมารไปได้เช่นกัน


ขั้นตอนการฝึก “ทองเลน”
๑)   เพิ่มพลังด้านบวกให้ตนเองก่อน
พลังจักรวาลมีสองลักษณะใหญ่ๆ คือ พลังด้านบวกและด้านลบ ด้านบวกคือ พลังสร้างสรรค์ พลังแห่งความดีงาม พลังแห่งความเมตตากรุณา ด้านลบคือ พลังแห่งการทำลายล้าง พลังแห่งความชั่วร้าย พลังแห่งความโกรธอาฆาตแค้น ก่อนที่จะใช้พลังทองเลน จำต้องประจุพลังด้านบวกเข้าไปสู่จิตใจให้เต็มเปี่ยมเสียก่อน ด้วยการระลึกถึงคุณงามความดี, สิ่งดีงาม, สิ่งศักดิ์สิทธิ์, พระพุทธเจ้า, พระโพธิสัตว์ ฯลฯ จนจิตเกิดปีติเปี่ยมล้นในหัวใจ มีพละกำลังในการที่จะทำสิ่งดีงามแก่มวลสรรพสัตว์


๒)   ฝึกใช้ทองเลนรักษาตนเอง
ด้วยการระลึกถึงตนเองที่บอบช้ำ มีความเจ็บปวดทางจิตใจ ได้รับสิ่งเลวร้าย และทุกข์ทนนานัปการมาตั้งแต่ในอดีต รื้อฟื้น ล้วงความเจ็บปวดที่ถูกซ่อนไว้ในจิตเบื้องลึกออกมา อย่าให้ความทุกข์ความเจ็บปวดถูกซ่อนไว้ เพราะหากซ่อนไว้ มันจะปรากฏเป็นนิมิตยามจากโลก จะทำให้นิมิตเศร้าหมอง อาจต้องตกนรกได้ ในการดึงมันออกมาทำได้สองวิธี คือ หนึ่ง วิธีแบบ “รูปฌาน” ให้เข้าสมาธิ แล้วระลึกถึงภาพตนเองที่เคยทุกข์ หรือเพ่งภาพตนเองในอดีต แล้วหายใจเข้า ดึงเข้ามาอยู่ที่ๆ ลึกที่สุดในกายตน เช่น แกนกลางร่างกาย (สำหรับผู้ชำนาญวิชชากุณฑาริณี), บริเวณหัวใจหรือหน้าอก (สำหรับผู้ชำนาญในการรวมจิตที่จุดนี้) หรือ บริเวณท้องน้อยที่มีอาการยุบพอง (สำหรับผู้ชำนาญในการรวมจิตที่นี่) เมื่อมารวมกันแล้ว ให้พลังจิตสลายความทุกข์และเจ็บปวดนั้น พร้อมหายใจออก ให้รู้สึกผ่อนคลาย ราวกับความทุกข์สลายไปพร้อมลมหายใจออก หากชำนาญใน “อรูปฌาน” ให้ใช้การระลึกเป็นนามธรรมก็ได้ หากชำนาญในการใช้คำบริกรรม ก็กำหนดเป็นคำบริกรรมก็ได้ เช่น หายใจเข้า ให้บริกรรม “เราทุกข์เพราะตกอับหนอ” (กรณีเราตกอับ) หายใจออก ให้บริกรรม “ความทุกข์สลายไปหนอ” อย่างนี้ก็ได้ หรือ หายใจเข้าระลึกสิ่งที่เข้ามาเป็นควันสีดำมารวมตัวตรงตำแหน่งต่างๆ ที่ได้อธิบายไว้ข้างต้น แล้วหายใจออก ให้เปลี่ยนเป็นแสงสีทองแผ่ไปไพศาล ให้รู้สึกเบาสบาย สว่างไสว ไร้กังวล ขั้นตอนนี้ให้ฝึกจนชำนาญ ซึ่งอาจใช้เวลา ตั้งแต่ ๑ ถึง ๖ ปี ความทุกข์ต่างๆ ของเราจะหมดได้


๓)   ใช้ทองเลนขจัดจิตใจให้บริสุทธิ์
ด้วยการระลึกถึงกิเลส ความหมองมัว สังโยชน์ หรือสิ่งที่ผูกรัดให้จิตใจไม่อิสระ หรือสิ่งที่คอยยั่วยุให้จิตใจไม่สงบ วิธีนี้ เทียบเท่ากับการทำ “วิปัสสนากรรมฐาน” อันนำไปสู่ขั้นตอนการบรรลุธรรม หลังจากที่ฟื้นฟูสภาพจิตใจตนเอง และฝึกปรือชำระจิตใจตนเองจนชำนาญแล้ว ให้เริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการขจัดกิเลสที่อยู่ในใจของตนเป็นขั้นต่อไป วิธีการคือ ค่อยๆ น้อมจิตระลึกถึงสิ่งที่ขัดขวางจิตใจ สิ่งที่เป็นอุปสรรคใจ สิ่งที่ทำให้จิตใจหมองมัว สิ่งที่ทำให้จิตใจเร่าร้อน ทีละหนึ่งอย่างไป เริ่มจากง่ายไปยาก เช่น ความลังเลสงสัยในพระธรรม คิดว่าเราจะโง่ศึกษาธรรมะไปทำไม ทำไมไม่ไปรีบหาเงินทองแข่งกับผู้อื่น เราทำสิ่งที่โง่เขลาอยู่หรือเปล่า นี่คือ วิจิกิจฉา ที่ขวางกั้นการบรรลุโสดาบันอย่างหนึ่ง ให้ดึงออกมาจากจิต เพื่อพิจารณาในสมาธิแบบวิธี “ทองเลน” หายใจเข้า รวมจิต น้อมจิตระลึกถึงความคลางแคลงสงสัยในธรรมะทั้งหมด มาไว้ตามตำแหน่งต่างๆ ตามที่ฝึกมา (เลือกตำแหน่งที่ถนัดตำแหน่งเดียว) แล้วหายใจออก พร้อมสลัดทิ้งความคลางแคลงใจให้หมดไป กลายเป็นความเชื่อมั่น หรือพลังด้านบวกที่ตรงกันข้ามแทน นี่คือ หัวใจสำคัญของวิชชาทองเลน คือ การเปลี่ยนพลังด้านลบเป็นบวก ใช้สิ่งตรงข้ามในการแก้กัน จนกิเลสทั้งหลายหมดสิ้น


๔)   ใช้พลังทองเลนรักษาผู้อื่น
ใช้วิธีเดียวกันกับที่รักษาตนเอง ตามที่ได้ฝึกมา ด้วยการระลึกถึงคนที่เราต้องการรักษา ไม่ว่าเขาจะอยู่ต่อหน้าเราหรือไม่ก็ตาม อาจใช้การเพ่งรูปภาพของเขา หรือระลึกภาพของเขาขึ้นในใจ (กสิณ) รับความไม่ดีไม่งามของเขา เข้ามาภายในตัวเราให้เต็มที่ ก่อนที่จะชำระให้สะอาดแล้วแผ่ออกไป การใช้พลังทองเลนนี้ สามารถขจัดความบอบช้ำทางใจ, คุณไสย, มนต์ดำ, พลังมารและอสูรที่ครอบงำผู้อื่นได้ แต่ไม่อาจขจัดกิเลสแทนให้ผู้อื่นได้ แต่เพียงเท่านี้ ก็สามารถช่วยคนได้มากแล้ว


การฝึกจิตเพื่อขจัดกิเลสในตนเอง เป็นสิ่งที่ทุกคนควรกระทำ เมื่อผ่านขั้นตอนนี้แล้ว สิ่งที่ควรกระทำต่อไป คือ การโปรดสัตว์ วิชชาทองเลนนี้ มีคุณค่าอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ต้องการมีวิชชาไว้ใช้ช่วยเหลือมวลสรรพสัตว์ นับเป็นวิชชาสาย “อภิญญา” ที่เกื้อประโยชน์แก่เหล่าสัตว์แตกต่างจากวิชชาอภิญญาอื่นๆ โดยแท้

การสร้างเตโชธาตุ ของลามะทิเบต

การสร้างเตโชธาตุ ของลามะทิเบต
(หาอ่านเพิ่มเติมได้ในหนังสือ "มหรรศจรรย์ทางจิต" ของวิจิตร วาทการ)

เรื่องราวเกี่ยวกับการเอาชนะความหนาวของลามะธิเบต ผมได้ศึกษาค้นคว้า พบว่า ที่ธิเบตมีวิธีการฝึกเพื่อเอาชนะความหนาวที่แปลก พิสดาร โหด เนื่องจากเป็นที่ทราบกันอยู่ทั่วไปว่า ประเทศธิเบตเป็นดินแดนแห่งความหนาวเย็น อากาศหนาวตลอดปี เขตที่หิมะจะหยุดนั้นมีเพียงเล็กน้อย ที่อยู่ของมนุษย์ก็อยู่ในระยะสูงตั้งแต่ ๓,๐๐๐ ถึง ๘,๐๐๐ เมตร จากระดับน้ำทะเล ชีวิตในธิเบตเป็นชีวิตที่ต้องต่อสู้กับความหนาวอย่างแท้จริง คนธรรมดาต้องใช้เครื่องห่อหุ้มร่างกายอย่างหนา ซึ่งทอหรือทำด้วยขนสัตว์ แต่บรรดาพวกลามะใช้ผ้าอย่างบางๆ แล้วก็ทนหนาวได้อย่างแปลกประหลาด ซึ่งคนปกติแม้แต่คนเมืองหนาวยังต้องใช้เครื่องห่อหุ้มร่างกายอย่างมากเพื่อป้องกันความหนาว เพราะความหนาวสามารถทำให้คนตายได้ง่ายๆ ด้วยโรคที่เรียกว่าปอดชื้น ปอดบวม หรือไข้หวัดอย่างร้ายแรง

แต่พวกลามะในธิเบตกลับห่มแค่ผ้าเหลืองบางๆ ธรรมดา และสามารถทนหนาวได้ ยิ่งเป็นลามะที่มีความสามารถเรียนรู้ฝึกฝนตามวิธีการของธิเบตด้วยแล้ว แม้ในเวลาหนาวจัดที่หิมะตก น้ำในลำธารเป็นน้ำแข็ง ก็เกือบจะไม่ต้องการเครื่องปกคลุมร่างกายแต่อย่างใด และไม่ได้ปกคลุมร่างกายยิ่งไปกว่าที่ใช้อยู่ตามธรรมดาในฤดูที่มีความอบอุ่น ทั้งนี้เพราะเหตุว่าบรรดาลามะได้เล่าเรียนศึกษาในทางสร้างเตโชธาตุมาไม่มากก็น้อย

ทางหลักวิชาเขาอธิบายไว้ว่า ในร่างกายของมนุษย์เรานั้น ธรรมชาติได้ให้ความอบอุ่นมาเพียงพอ ได้ให้เตโชธาตุมาในตัวแล้ว เพียงแต่ทำให้เตโชธาตุนั้นมีกำลังแรงขึ้นเหมือนใส่เชื้อเพลิงให้เพลิงลุกแรงขึ้น ความอบอุ่นในร่างกายก็จะมีมากพอสำหรับต่อสู้ความหนาวได้ ในร่างกายของมนุษย์มีพลังที่ซ่อนอยู่ มนุษย์เพียงแต่รู้วิชาที่จะปลุกเอาพลังที่หลับอยู่ขึ้นมาใช้เท่านั้น ก็สามารถจะทำสิ่งซึ่งมนุษย์ทั่วไปเห็นเป็นความมหัศจรรย์ แต่ไม่ใช่ความมหัศจรรย์โดยธรรมชาติ ซึ่งอันที่จริงก็เป็นไปตามธรรมชาตินั่นเอง

หลักวิชาอย่างนี้ตรงกับหลักจิตวิทยาที่รับรองทั่วไป ทั้งในธิเบต ในอินเดีย และในที่อื่นๆ ซึ่งการสร้างเตโชธาตุเป็นวิทยาการที่พิสูจน์ได้ เป็นวิทยาศาสตร์ อย่างน้อยก็ทำให้ทนหนาวได้ โดยไม่เป็นหวัด ไม่ป่วยไข้ ไม่สั่นสะท้าน รู้สึกอบอุ่นแม้มีเพียงเครื่องปกคลุมร่างกายเพียงเล็กน้อย ในขณะที่อากาศหนาวจัดจนเป็นน้ำแข็ง ผู้ที่ได้ฝึกฝนตามวิธีการอย่างครบถ้วนแล้ว สามารถจะยืนหยัดหรือนั่งอยู่กลางหิมะ โดยเปลือยกายอยู่ตลอดคืนได้ ยิ่งกว่านั้นลามะชั้นอาจารย์ที่เก่งๆ สามารถนั่งภาวนาเป่าหญ้าแห้งอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งก็มีไฟลุกโพลงขึ้นมาได้!!

วิธีการฝึกนั้น เป็นไปตามหลักวิทยาการ เป็นเรื่องจิตศาสตร์โดยแท้ เป็นวิธีที่ใกล้หลักพระพุทธศาสนายิ่งกว่าเรื่องอื่นๆ วิธีของธิเบตนั้นไม่มีวิธีที่ค่อยทำค่อยไป พอเริ่มต้นก็ทำอย่างหักโหมร้ายแรง สู้ไม่ได้ก็ตายไป ถ้าสู้ได้ก็เป็นอันฝึกฝนได้สำเร็จ ก่อนลงมือทำการฝึกหัด อาจารย์จะให้ท่องมนต์ก่อน มนต์นั้นมีใจความว่า เราเป็นผู้ไม่กลัว เราใช้หนี้หมดแล้ว เราเสียสละแล้ว เรามีความสุข อยู่ในความวิเวก ไม่ต้องการคบหาใคร นอกจากแผ่นดินและท้องฟ้า เราเชื่อว่าพระผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้ให้สิ่งที่ป้องกันความหนาวไว้แก่เรา หิมะเป็นของสวยงาม ความหนาวเป็นเครื่องให้ความสุขแก่มนุษย์ ลมที่พัดพาเอาความเย็นแทรกซึมเข้าไปในกระดูกได้นั้นเป็นไปโดยธรรมชาติ ผู้มีปัญญาสามารถ ย่อมจะรับเอาสิ่งที่ดีจากของเหล่านั้นไว้ในตัว ไม่รับเอาสิ่งที่ร้าย

การฝึกครั้งแรก คือให้ลงไปอาบน้ำในเวลากลางคืนในแม่น้ำที่เย็นเป็นน้ำแข็ง ห้ามเช็ดตัว ห้ามห่อหุ้มร่างกายด้วยผ้าหนา แล้วให้นั่งภาวนาคาถา ก็จะเกิดความอบอุ่นขึ้นในร่างกายหากเราสังเกตมันได้ ซึ่งอาจจะตรงกับหลักจิตวิทยาโดยทั่วไปว่าในร่างกายของมนุษย์เรานั้น ถ้ามีความจำเป็นจะต้องต่อสู้กับความร้ายแรงในทางหนึ่งทางใด กำลังใจที่จะต่อสู้ในทางนั้น ซึ่งหลับอยู่ในตัว ก็ลุกขึ้นต่อสู้ความหนาว เราจะใช้เวลาที่อยู่ในน้ำได้มากอย่างที่ไม่นึกว่าจะทำได้ และพอขึ้นมาจากน้ำก็รู้สึกว่ามีไอน้ำออกทั่วตัว ซึ่งแสดงว่าเตโชธาตุได้ลุกขึ้นทำการต่อสู้กับความหนาวเย็นอย่างมาก

ภายหลังที่ขึ้นจากน้ำ ห้ามคลุมผ้าที่ทำด้วยขนสัตว์ ห้ามผิงไฟ ให้นั่งนิ่งภาวนาให้นานที่สุด (ต่อสู้กับลมหนาวด้วย) วิธีการนั่งภาวนาสามารถนั่งขัดสมาธิแบบที่เรารู้จักก็ได้ หรือว่านั่งบนที่ที่ยกชั้นขึ้นห้อยขาลง มือทั้งสองพาดที่เข่า แต่ว่าให้เอาหัวแม่มือและนิ้วนางงอเข้า ส่วนนิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วก้อยให้เหยียดออก (แบบท่าพระโพธิสัตว์)

ซึ่งวิธีการนั่งภาวนานี้เป็นมหาสติปัฏฐานโดยแท้ เพราะว่าให้พิจารณาลมหายใจเข้าออก แต่วิธีการ เคล็ดลับการฝึกที่ละเอียดนอกไปจากสติปัฏฐานที่เรารู้จักกันอยู่ในเมืองไทยนั้นก็คือ เวลาหายใจออกให้ขับอติมานะ ความเย่อหยิ่ง ความโกรธ ความพยาบาท ความอยากได้ และความเกียจคร้านออกไปพร้อมกับลมหายใจ เวลาหายใจเข้าให้นึกถึงพระพุทธคุณ และพระคุณของพระเจ้า ๕ พระองค์ ให้เอาอารมณ์ออกไปในเวลาหายใจออก ให้คิดเอาพุทธคุณเข้าในตัวเวลาหายใจเข้า

เมื่อทำสติปัฏฐานเกี่ยวกับลมหายใจได้แน่วแน่แล้ว จึงทำการปฏิบัติอีกขั้นซึ่งมี ๒ ขั้นตอนคือ

ขั้นแรกเรียกว่า "รามา" คือให้สร้างมโนภาพว่าในท้องเรานั้นมีดอกบัวดอกหนึ่ง อยู่ตรงสะดือของเรา ดอกบัวนั้นมีความร้อนแรงและแสงสว่างเหมือนดวงอาทิตย์ ให้สร้างมโนภาพให้ชัดว่าดอกบัวอยู่ในท้อง เป็นตัวแทนของดวงอาทิตย์ มีทั้งแสงและความร้อน ที่จะแผ่ซาบซ่าน กระจายความอบอุ่นไปทั่วร่างกาย

ขั้นที่สองเรียกว่า "อุมา" ให้นึกสร้างเส้นประสาทใหม่ขึ้นในตัวเรา ๓ เส้น เส้นหนึ่งแล่นตั้งแต่ปลายเท้าขวาไปถึงปลายมือขวา เส้นที่สองแล่นตั้งแต่ปลายเท้าซ้ายขึ้นไปถึงปลายมือซ้าย เส้นที่สามแล่นกลางตัวขึ้นไปจนถึงศีรษะ ให้สร้างมโนคติเห็นเส้นประสาทเหล่านี้เป็นเหมือนสายฟ้า ที่มีไฟสีขาวเริงแรงอยู่ตลอดเส้น และเปลี่ยนขนาดเรื่อยไป ในขั้นแรกให้เห็นขนาดเท่าเส้นผม ต่อไปให้โตขึ้นเท่านิ้วก้อย เท่าแขน และลุกโพลงไปทั่วตัวแล้วก็กลับเล็กลง คือกลับเล็กเท่าแขน เท่านิ้วก้อยเท่าเส้นผม! ซึ่งเป็นวิธีการอย่างที่เรียกว่าอนุโลม-ปฏิโลม คือ เดินหน้าและถอยหลัง อย่างวิธีกัมมัฏฐานของไทย ทำกลับไปกลับมาอย่างนี้ให้ได้ภาพที่แน่นอนแล้ว ก็จบลงด้วยการเห็นสายไฟนั้นดับ ให้เรารู้สึกตกอยู่ในความมืด อยู่ในที่ว่างเปล่าของจักรวาล สงบนิ่งในอารมณ์นั้น

วิธีการทางธิเบตเป็นที่เลื่อมใสแก่พวกนักศึกษา โยคะหรือพวกโยคีในอินเดีย จนมาขอร่ำเรียนศึกษา ซึ่งก็มีโยคีที่เก่งคนหนึ่งของอินเดีย ชื่อนโรทะ มีความรู้ทางลัทธิโยคีมาอยู่แล้ว ได้ไปศึกษาเพิ่มเติมตามวิธีการของธิเบต และได้รับการรับรองจากคนเก่งๆ ในธิเบต ว่าเป็นผู้สามารถสร้างความมหัศจรรย์ได้ในเรื่องเตโชธาตุ สามารถทำให้ไฟลุกขึ้นที่ไหนก็ได้

เรื่องการสร้างเตโชธาตุนี้ มีคนเรียนกันมาก เมื่อมีผู้ที่เรียนรู้กันมาก หลากหลายอาจารย์ บางครั้งมักจะจัดให้มีการแข่งขันลองวิชา ลองความศักดิ์สิทธิ์ วิธีการทดลองก็คือ เอาผ้าคลุมตัวลงไปในน้ำในลำธารหรือในแอ่งซึ่งเย็นเยือกเป็นน้ำแข็ง หรือขุดหลุมหิมะแล้วลงไปแช่ เมื่อลงไปในน้ำหรือในหิมะนานพอที่แน่ใจว่าผ้าเปียกแล้ว ผู้ที่เป็นกรรมการควบคุมก็เรียกตัวขึ้นมา ให้นั่งอยู่ทั้งๆ ที่มีผ้าคลุมเปียกอย่างนั้น จนกว่าผ้าจะแห้งไปเองด้วยความอบอุ่นในตัวคน โดยตัดสินแพ้ชนะกันที่ว่าใครทำได้มากครั้งกว่า คือหมายความว่า มีความร้อนในตัวมากกว่า ทำให้ผ้าแห้งเร็วกว่า

แก้วจักรพรรดิและวิชาปรอท

แก้วจักรพรรดิและวิชาปรอท 
                                                          
ตำนานแก้วจักรพรรดิ
จากหนังสือ วังมุย แห่งหริภุญชัย
จัดทำโดย สมาชิกฯ อินทราพงษ์
 
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เล่าเรื่องแก้วจักรพรรดิไว้ในหนังสือ “สมบัติพ่อให้” อยู่ในส่วนของ “แก้วมณีรัตนะ” ซึ่งท่านทำขึ้นมาสงเคราะห์ลูกหลาน ตลอดจนศิษยานุศิษย์มากมายทั้งในและต่างประเทศของท่าน ทำให้เราทราบว่า แก้วจักรพรรดิองค์ต้นแบบนั้น ท่านได้รับมอบมาจากหลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่ม
“แก้วนี้ ทำด้วยบารมีพระพุทธเจ้า เวลาทำจริงๆ อาตมาไม่รู้เรื่องเลย ต้องไปศึกษากับท่านมา ๒ คืน คืนแรกที่ขึ้นไป ก็อยากทราบประวัติว่า ลูกแก้วนี้มีประวัติมาจากไหน คือแก้วอาตมา มีอยู่ลูกหนึ่ง ไม่ทราบว่ามาจากไหน ทราบแต่ว่าเป็นของต้นตระกูลสืบต่อกันมาหลายชาติ ก็ขึ้นไปหาโยมท่านที่ดาวดึงส์ ไปถามโยมผู้ชายว่าโยมทราบประวัติของลูกแก้วนี้ไหม ท่านบอกว่า ท่านทราบประวัติแต่ไม่เคยใช้มาก่อน คนที่เคยใช้จริงๆ คือโยมผู้หญิง โยมผู้หญิงท่านบอกว่า ท่านใช้มาแล้วหลายสิบชาติ และก็สมัยครองราชย์ ท่านบอกว่า เรามีแก้วลูกเล็กลูกเดียว ประชากรในประเทศของเรายังไม่มีใครจนเลย ท่านเลี้ยงพอ ก็เลยถามประวัติความเป็นมา ท่านบอกว่า เดิมทีเป็นลูกแก้วลูกยอดของพระเจ้าจักรพรรดิ เลยถามท่านว่า เวลานี้แก้วของพระเจ้าจักรพรรดิอยู่ที่ไหน ท่านบอกว่า อยู่ที่พระจุฬามณี จึงพาไปดู ความจริงสมัยของพระเจ้าจักรพรรดิที่มีแก้วมณี มีพระขรรค์แก้ว มีเกือกแก้ว มีจักรแก้ว แต่ว่าทั้ง ๔ อย่างนี้อยู่คนละที่ มีเทวดารักษาอยู่ ถ้าใครจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เทวดาก็จะนำทั้ง ๔ อย่างมามอบให้ แต่ว่าพระเจ้าจักรพรรดิคนนั้นตาย คนอื่นจะรับมรดกแทนไม่ได้ ...เทวดาต้องเอาของเขากลับคืนไป เทวดาท่านต้องหวงแหน เพราะว่าของ ๔ อย่างนี้ ต้องเป็นของคนที่มีบุญพอจึงจะครองไว้ได้
สร้างวัดท่าซุงในตอนแรก หลวงปู่ชุ่มท่านเอามาให้ เมื่อวันที่ท่านจะกลับท่านขึ้นไปหาบนห้อง ท่านบอกว่า "น้อง ไม่ช้าพี่ก็ตาย อยู่ไม่ได้ แต่ว่าน้องจะต้องอยู่อีกนาน" ประวัติเดิม เคยเกิดเป็นพี่น้องกันมา ท่านก็เลยนำแก้วออกมา บอกว่า "แก้วลูกนี้เป็นของต้นตระกูล สืบต่อกันมาหลายชาติ น้องจงรักษาไว้ เมื่อมีลูกแก้วนี้แล้ว จะทำอะไรก็สำเร็จทุกอย่าง"
ในช่วงนั้นสร้างเงินเป็นหมื่นก็เป็นหนี้เขาแต่ว่าต่อมาเมื่อได้ลูกแก้วนี้ ขึ้นมา สร้างอะไรต่างๆ ทางด้านโบสถ์ สร้างทั้งหมดใช้เวลา ๓ ปี โบสถ์หลังเดียวใช้เวลา ๓ ปี ยังไม่ยากจะเสร็จเลย แต่ว่าสิ่งก่อสร้างทางด้านโบสถ์นะ เมื่อได้ลูกแก้วนี้มาแล้วใช้เวลาสร้างทั้งหมด ๓ ปี และก็ ๓ ปีนะ อาตมาไม่ได้ปั๊มเงินเองนะ ก็ได้เงินจากท่านพุทธบริษัททั้งหมดนี่และช่วยสร้าง
และต่อมาปี ๒๕๒๐ ท่านก็สั่งให้สร้างสถานที่ใหม่ ท่านบอกว่า สถานที่นี้ควรจะเป็นที่เพราะพระอริยะเจ้า ท่านมาสั่งสร้าง แล้วท่านก็ออกแบบของท่านเอง ก็เลยคิดตามท่าน ว่าถ้าเป็นแบบนี้จะต้องใช้เงินเดือนหนึ่ง ๖ แสน กับ ๘ แสน สลับกัน ถ้าเดือนไหนใช้ต่ำไปหน่อยอีกเดือนหนึ่งก็จะใช้เกินไป ถามท่านว่า ถ้าจำเป็นแบบนี้แล้วจะไปเอาเงินที่ไหน ท่านบอกว่า "แกทำไปเถอะ ฉันไม่ให้เป็นหนี้มาก ถ้าเป็นหนี้ก็ใช้ง่าย" พอเริ่มลงมือทำเข้าจริงๆ ก็ต้องใช้เงินเดือนละ ๖ แสน กับ ๘ แสน สลับกันมา พอหลังจากน้ำท่วมปีที่แล้ว (ปี ๒๕๒๓) เข้าเดือนธันวาคม ปรากฏว่าค่าใช้จ่ายกลายเป็นเดือนละล้านเศษ แต่ว่าเงินให้เขาไม่พอ ได้จากญาติโยมเท่าไหร่ พวกเจ้าหนี้ก็มาเอาไปหมด แต่เราได้วัตถุคืนมานะ ก็เป็นอันว่า แก้วนี้ถ้ารับไปเพื่อใช้ ให้ทำเป็นกรรมฐานทุกวัน และทุกวันที่บูชาให้บูชาด้วยคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า และควรอธิฐานว่า ขอความปรารถนาทุกอย่างจงสำเร็จทุกประการ เท่านั้นแหละ

                            


กระโถนข้างธรรมาสน์  พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

(ถามเรื่องแก้วจักรพรรดิ)
      ตอบ:  รูปร่างเป็นอย่างไร ก็เหมือนไข่ไก่ ถามว่าสีอะไร บอกไม่ถูก มันหลายสีรวมกัน เหมือนกับแก้วแล้วก็มีลายเป็นทอง แต่ว่าดูด้วยสายตาเหมือนกับทึบ แต่ถ้าเอามาส่องไฟกลับมองทะลุได้ แปลกมาก
      ถาม:  เกิดอย่างไร ?
      ตอบ:  แก้วจักรพรรดิ เกิดจากการหุงปรอท ในสมัยโบราณเขาเล่นแร่แปรธาตุก็จะมีการหุงปรอท ถ้าของฝรั่งตามวิทยาศาสตร์ก็คือโลหะธาตุอย่างหนึ่ง แต่ว่าเป็นโลหะเหลว แต่ว่าทางจิตศาสตร์หรือไสยศาสตร์ เขาเชื่อว่ามันมีชีวิตอยู่ มันสามารถไปได้ มาได้ กินอาหารได้ แล้วคนที่เขาเล่น พวกเล่นแร่แปรธาตุเกี่ยวกับปรอท เขาจะไปดักจับมันเสร็จแล้วก็เอามา ทำการหุงด้วยสมุนไพร จนมันจับตัวแข็งขึ้นมา ที่เขาเรียกว่าทำปรอทสำเร็จ
              ที่นี้มีอยู่หลายระดับ พอทำไปถึงระดับหนึ่งจะเป็น มหาเสน่ห์ เรียกว่าใครเห็นก็รักอะไรอย่างนั้น ต่อไปก็ ป้องกันภัย รักษาโรค ทำเป็นทอง ทำเป็นแก้ว แล้วตรงทำเป็นแก้วนั้นแหละที่ปรอทมันจะกลายเป็น แก้วจักรพรรดิ หรือ แก้วราหู แล้วแต่ธาตุปรอท ถ้าธาตุปรอทเป็นธาตุตัวเมีย จะเป็นแก้วราหู จะเป็นองค์เล็ก แต่ถ้าหากว่า ปรอทธาตุเป็นตัวผู้ จะเป็นแก้วจักรพรรดิ คือ องค์ใหญ่ เคยไปคลำ ๆ พวกอย่างนี้มาพักใหญ่ เหมือนกัน ปรากฏว่าปีนั้นมีพระข้ามไปเรียนวิธีหุงปรอทที่พม่า ๕ องค์ กลับมาสึกเกลี้ยง ขั้นแรกพอเป็นมหาเสน่ห์แล้วทนไม่ได้ สึกหมด สาว ๆ มาหาเยอะ เป็นการทดสอบตัวเอง ได้ดีมาก
              ตัวอย่างผู้สำเร็จปรอทของพม่าที่ดังที่สุด ก็คือ ฤๅษีบูบูอ่อง ท่านนุ่งขาวห่มขาว ศึกษาวิชาพวกนี้อยู่บนยอดเขาโป๊ปป้า ภูเขา เขานี้อยู่ระหว่างเส้นทางจาก พุกาม จะไป มันฑะเลย์ จะมียอดภูเขาไฟอยู่ยอดหนึ่ง เป็นสถานที่เหมาะสมสำหรับทำพวกพรรค์นี้มาก เคยไปค้างอยู่ลิงเยอะเป็นบ้านเลย
              คราวนี้ว่า พอทำเป็นแก้วได้ ก็จะมีฤทธิ์เหาะได้ โบราณท่านเรียกว่าสำเร็จปรอท พวกที่สำเร็จปรอทนี้พอถึงทำเป็นแก้วแล้ว เรื่องทำทองเป็นเรื่องเล็ก เขาก็จะทำแผ่นทองจารึกชื่อตัวเอง พร้อมกับวันเดือนปีที่สำเร็จปรอท แล้วก็เอาไปถวายบูชาตามเจดีย์ต่าง ๆ โดยเฉพาะ เจดีย์ชะเวดากอง ถ้าอยากดูก็ต้องปีนขึ้นไปดู ที่เมืองไทยมีอยู่ องค์หนึ่ง แต่ว่าท่านอยู่ในป่า สำเร็จปรอทแล้วท่านก็อมเอาไว้ คราวธาตุปรอท คล้าย ๆ กับว่ามันเรืองแสงออกมาได้ เขาก็เลยเห็นออกมาเป็นสีแดง ๆ ก็เลยเรียกท่านว่า หลวงพ่อ แก้มแดง เหลือเชื่อไหมว่าธาตุอย่างหนึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นอีกอย่างได้
      ถาม:  แล้วอย่างอานุภาพเป็นอย่างไรครับ ?
      ตอบ:  แก้วจักรพรรดิจะให้ลาภเป็นส่วนรวม ใครมีแก้วจักรพรรดิอยู่จะเลี้ยงคนสักเท่าไหร่ก็ไม่ต้องหนักใจเลย
      ถาม:  แล้วแก้วราหูครับ ?
      ตอบ:  เหมือนกัน ต่างกันแต่ว่าว่าอันหนึ่งเล็กกว่า อันหนึ่งใหญ่กว่า แก้วจักรพรรดิของหลวงพ่อได้มาจาก หลวงปู่ชุ่ม วัดวังมุย ที่ ลำพูน หลวงพ่อชุ่มท่านมีความคล่องตัวในนิโรธสมาบัติที่สุดเลย บุคคลอื่นเข้านิโรธสมาบัติแค่สามอิริยาบถ คือ ไม่นั่ง ก็นอน ยืนนี่น้อย แต่หลวงพ่อชุ่มท่านทำได้ สี่อิริยาบถเลย ยืน เดิน นั่ง นอน ได้หมด นิโรธสมาบัตินี้ สัญญาเวทยิตนิโรธ มันจะไปตัดสัญญา คือความรู้ทั้งหมด และความรู้สึกทั้งหมด ก็เลยไม่ทราบเหมือนกันว่าท่านใช้ อะไรบังคับร่างกายให้เดินได้ อาจใช้อธิษฐานจิตทับเอาไว้ก่อนก็ได้ แต่ว่าท่านทำได้จริง ๆ
              คราวนี้หลวงปู่ชุ่ม ท่านเคยเป็นพี่หลวงพ่อมาหลายชาติ แล้วก็เป็นพี่ที่ ถ้าถึงเวลาก็อาจโดนน้องประหารบ้าง ก็เลยกลัวหลวงพ่อ ก่อนที่ท่านจะมรณภาพท่านก็มาหาหลวงพ่อ บอกว่าหลวงน้อง ต่อไปหลวงน้องต้องทำงานใหญ่เพื่อทำงานพระศาสนา คนที่มาหาจะมีจำนวนมากมหาศาล ถ้าหากว่าหลวงน้องมีแก้วจักรพรรดินี้เอาไว้ หลวงน้องก็สามารถที่จะเลี้ยงคน โดยที่ไม่ต้องหนักใจ หลวงจากนั้นไม่นานหลวงปู่ท่านก็มรณภาพไป เสร็จแล้วหลวงปู่ท่านบอกว่า ท่านเองก็เคยทำ ตระกรุดปรอท มาแจกลูกศิษย์แต่ท่านบอกว่าอาจารย์ท่านเก่งกว่าทำเป็นแก้วจักรพรรดิได้ แสดงว่าอาจารย์ของหลวงปู่ชุ่มนี้สุดยอด
      ถาม:  หลวงพ่อท่านมีกี่องค์ครับ ?
      ตอบ:  แก้วจักรพรรดิ นี้มีองค์เดียว แล้วมี แก้วราหู อีกองค์หนึ่ง แก้วราหูนี้จริง ๆ แล้ว ตอนนั้นผู้กอง อรรณพ แกเป็นแค่ร้อยตำรวจโทตระเวนชายแดนเอง แต่เป็นที่ถูกใจหลวงปู่ หลวงปู่ก็มอบให้ แล้วเพื่อนก็ยืมไปใช้ ตี๋เล็ก มันยืมไปใช้ แล้วทะลึ่งไปเที่ยวซ่อง หายจ้อยไปเลย ทั้ง ๆ ที่ถัก เอาไว้อย่างดี ไม่มีทางออกไปไหนได้เลย แล้วก็ผูกติดไว้กับสร้อยคอ เล่นเอาคุณอรรณพ เกือบจะบีบคอเพื่อนตาย ปรากฏว่าหลังจากที่หายไปไม่นาน ไปโผล่อยู่กับหลวงพ่อโน้น วิ่งไปหาพวก หลวงพ่อท่านก็เลยเก็บไว้เองทั้งคู่เลยปัจจุบันนี้ก็อยู่กับพระครูปลัดอนันต์เจ้าอาวาสองค์ใหม่

        ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แก้วมณีรัตนะรุ่น 2
      ถาม:  แล้วที่หลวงพ่อท่านทำลูกแก้ว ?
      ตอบ:  หลวงพ่อท่านบอกว่ามีอานุภาพถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ของ ของแท้ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ท่านทำครั้งแรก ๆ มาครั้งหลัง ๆ นี้ไม่ทราบว่าได้เกินหรือเปล่า ? ท่านบอกว่าได้ขึ้นไปดูแก้วจักรพรรดิของ ท่านปู่พระอินทร์ แล้ว เหมือนกันเลย แสดงว่าท่านปู่พระอินทร์เวลาได้แก้วจักรพรรดิมาก็คงลักษณะเดียวกัน เพราะว่าจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิจะต้องมี จักรรัตนะ คือแก้วเจ็ดประการ ก็ประกอบไปด้วย อันดับหนึ่ง จักรแก้ว, อันดับที่สอง ปรินายกรัตนะ คือขุนพลแก้ว, แล้วก็ อัสสะรัตนะ ม้าแก้ว, หัตถิรัตนะ ช้างแก้ว, อิตถีรัตนะ นางแก้ว, เสร็จแล้วก็มี มณีรัตนะ คือ แก้วมณี มีไว้เพื่อเลี้ยงคน เพราะท่านต้องปราบไปในทวีปทั้งสี่ ในเมื่อเขาอยู่ใต้อำนาจแล้ว เกิดตกระกำลำบากอะไรขึ้นมา ไม่ช่วยเขาก็ไม่ได้ ในเมื่อจำเป็นต้องช่วยเขาก็ต้องมีพวกนี้เอาไว้ ไม่อย่างนั้นก็ช่วยเขาไม่ไหว ใครจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิต้องมีให้ครบ มีไม่ครบเป็นไม่ได้ มีอยู่ใน จักกวัตติสูตร ใน อังคุตตรนิกาย ไปเปิดพระไตรปิฎกดูได้ อ่านมานานแล้ว จำไม่ค่อยได้ ต้องไปทบทวนใหม่
              เมื่อกี้ที่ว่ายังขาด คหปติรัตนะ คือ ขุนคลังแก้วนะ มีหน้าที่หาสตางค์ใส่คลัง แต่มีทิพจักขุญาณแจ่มใสมากไปที่ไหน เจอสมบัติก็ขุดมาใส่คลังไว้ ใครมีลูกน้องอย่างนี้รวย
              รัชกาลที่สาม ท่านบอกว่า ท่านมีขุนพลแก้ว คือ เจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนีย์)มีขุนคลังแก้วคือ เจ้าพระยาศรีสหเทพ (ทองเพ็ง) แล้วก็มีนางแก้ว นางแก้วนี้ไม่ใช่มเหสี แต่เป็นลูกสาว โอ้โห....เก่งจริง ๆ จำไม่ได้แล้วว่าเป็นพระองค์ไหน ของท่านเองท่านว่าถึงไม่ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แต่ก็มีแก้วตั้งสามอย่างแล้ว ท่านก็พอใจแล้ว สมัยรัชกาลที่สามเงินคงคลังล้นท้องพระคลัง ท่านบอกว่าเตรียมไว้ให้น้องคือ รัชกาลที่สี่ เพื่อว่าต่อไปข้างพวกยุโรป คือ พวกฝรั่ง อังกฤษ จะมาเบียดเบียน ถึงเวลาจะได้มีเงินมีทอง สำรองเอาไว้ เพื่อจะได้แก้ไขเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ รัชกาลที่สี่ท่านก็เลยใช้เพลิน สบาย ตกลงรัชกาลที่สามเหนื่อยที่สุด เพราะว่า รัชกาลที่สอง พอว่าท่านรับงานได้ ก็ทิ้งงานให้เลย เรียกว่าท่านทำงานแทนรัชกาลที่สอง มาตลอด แล้วก็ทำงานในรัชกาลของตัวเอง แล้วก็เผื่อแผ่ไปยังรัชกาลที่สี่ด้วย ตกลงเท่ากับว่าคนเดียวล่อเสียสามรัชกาล ปัจจุบันนี้ยังเป็น พระสยามเทวาธิราช อยู่ ไหน ๆ ก็เหนื่อยแล้ว ก็เหนื่อยให้ตายไปเลย
ถาม:  พระปรอทที่ท่านทำ แบบเดียวกับของตลาดพระหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ปรอทที่อยู่ในท้องตลาดนี่ ใช้วิธีปั่นขึ้นมา ใช้ไม่ได้ อันตรายมากเลย ปั่นลักษณะผสมแบบเดียวกับผสมสารอุดฟันน่ะ พวกอมัลกัม ฉะนั้น...ปรอทไม่ได้ตายจริง ๆ ปรอทนี่ทางวิทยาศาสตร์ เขาถือว่าเป็นโลหะชนิดหนึ่ง แต่ทางด้านของพวกไสยศาสตร์นี่ เขาถือว่าเป็นวัตถุมีชีวิต สามารถมาได้ หนีได้ กินอาหารได้ คราวนี้มีตำราจับปรอท จับปรอทมานี่เพื่อเอามาทำเป็นเครื่องรางของขลัง พอจับปรอทได้แล้ว เขามีวิธีฆ่ามันให้ตายเพื่อมันจะได้ไม่หนี แล้วเสร็จแล้วก็จะนั่งปลุกเสกนั่งหลอมกันไป มันก็จะมีขั้นตอนของมันไปว่าจะเป็นมหาเสน่ห์ ป้องกันภัย รักษาโรค ทำเป็นทอง ทำเป็นแก้ว
              ปีที่ผมไปเรียนเกี่ยวกับปรอทน่ะ มันมีพระไทยข้ามไปเรียนที่พม่า ๕ องค์ พอถึงขั้นแรก สาวเอาไปเจี๊ยะหมด ขั้นแรกคือ มหาเสน่ห์ เสร็จหมดเลย ๕ องค์ไม่เหลือเลย ถ้าหากปรอททำไปถึงขนาดเป็นทองนี่ คนส่วนใหญ่จะพอแค่นั้นคือมันรวยแล้ว ทางด้านพม่านี่ประเภททำไปขายกันเยอะแล้ว แต่ว่าจริง ๆ มันต้องทำถึงอันสุดท้าย ทำให้เป็นแก้ว ปรอทนี่ถ้าทำเป็นแก้วนี่ จะเป็นแก้วจักรพรรดิ หรือแก้วราหู ถ้าเป็นปรอทตัวผู้จะเป็นแก้วจักรพรรดิ ถ้าเป็นปรอทตัวเมียจะเป็นแก้วราหู ซึ่งจะดีมากที่สุดในทางให้ลาภ ปัจจุบันนี้หลวงพ่อวัดเขาตะมายะ ใคร ๆ ก็ว่าท่านทำปรอทได้ เพราะว่าคนไปอยู่ไปกินกับท่านวันละเป็นหมื่น ๆ ท่านเลี้ยงเขาได้ตลอด ต้องประเภทแก้วจักรพรรดิ เท่านั้นแหละ ถึงจะเลี้ยงคนมหาศาลขนาดนั้นได้ ของพวกเราไม่ต้องไปทำปรอทให้เสียเวลาหรอก ลูกแก้วหลวงพ่อวัดท่าซุงนั่งแหละ ใครมีไปตื้อขอเขามาสักลูกหนึ่ง อธิษฐานเป็นอะไรเป็นใช้ได้หมด
      ถาม :  แล้วที่หลวงพ่อโตทำล่ะครับ ?
      ตอบ :  อันนั้นไม่ทราบ เพราะว่าถ้าเอาก็เอารุ่นเก่าที่หลวงพ่อท่านทำ อย่างนั้นเรามั่นใจใช่ไหม ครูบาอาจารย์ของเรา
      ถาม :  หลวงพ่อโตท่านก็ทำ ?
      ตอบ :  หลวงพ่อโตจริง ๆ ท่านมีชื่อเสียงในวงการพระเครื่องอยู่นะ พระของท่านหลายรุ่นติดอันดับนิยม นี่พูดถึงหลวงพ่อโต วัดเขาบ่อทอง
      ถาม :  ...........................
      ตอบ :  อันนั้นไม่ทราบจ้ะ แต่ว่ามีโยมเอาไปที่เชียงใหม่ แล้วร้านค้าเขาดูแล้วเขาตีราคาให้เลย จากซื้อวงละ ๕๐๐ บาท เขาให้ตั้ง ๓๐,๐๐๐ บาท ก็แสดงว่ามันน่าจะ จริง ๆ ถ้าหากว่าเป็นรุ่นแรกที่เป็นเพชรเขาพระงามอันนั้นน่ะ เป็นเพชรประมาณ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ อาตมาเคยเอาที่ยังไม่ได้เจียกรีดกระจก กระจกขาด แต่น่าเสียดายว่าตอนรุ่นหลัง พอส่งไปที่ร้านค้าอมไปเกลี้ยงเลบ แล้วมันเอาเพชรรัสเซียติดมาให้แทน
              ฉะนั้น...ใครได้รุ่นแรก ๆ ก็สบาย รุ่นนั้นมีระยะหนึ่งที่พวกพรนุช เขาเอาที่เจียระไนเสร็จใหม่ ๆ มาจำหน่ายกันอยู่ อันนั้นน่ะใช่ นั่นของเขาพระงาม อันนั้นเรียกว่าเพชรได้เลย ๘๐ เปอร์เซ็นต์ของเพชรแท้แล้ว เราลองกรีดกระจกดูมันกรีดได้
      ถาม :  เอากระดาษทรายถูค่ะ ถ้าไม่เป็นรอยก็คือเพชร ถ้าเป็นรอยจะไม่ใช่เพชร
      ตอบ :  ดูไม่เป็น เรื่องของอัญมณีนี่ยอมแพ้ ต่อให้เอาของปลอมมาถ้าเราเห็นว่าสวยกว่า เราก็เลือกของปลอม (หัวเราะ) ดูยากเพราะว่าสายตาต้องละเอียดจริง ๆ จะต้องดูเนื้อของมัน เพชรแท้พลอยแท้นี่จะมีรอยแตกมีเศษของอยู่ข้างใน มีฟองอากาศอยู่ข้างใน เพราะว่ามันเกิดจากธรรมชาติ
              คราวนี้ของที่อัดขึ้นมานี่เนื้อมันเรียบเปรี๊ยะเลย แล้วสะท้อนแสงได้ดีกว่า อยากรู้ต้องถามคุณสุนิสา สัตตะสุริยะเดช โน่นน่ะดูเป็น โน่นเขาขายอยู่
      ถาม :  ..........................
      ตอบ :  เรื่องปรอทเคยทำมา ๔๐ กว่าอัน เอามาไล่แจกโยมแล้วก็เลิกหายคันแล้ว รู้ว่าทำได้ก็พอแล้ว ปรอทต้องได้จับเนื้อถึงจะรู้ว่าใช้ได้ไหม ถ้าไม่ได้จับไม่รู้หรอก แต่ถ้าจับแล้วยังลื่น ๆ อยู่ใช้ไม่ได้หรอก มันยังไม่ตาย ถ้าหากปรอทที่ตายแล้วมันจะฝืด ที่ทำอยู่แล้วเขาทำกันไม่สำเร็จน่ะ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเขาไม่มีสมาธิ คนจะแปลกใจมากเลย เราไปแป๊บเดียวหอบมาเป็นกุรุสแล้ว เขาขาดตรงสมาธิจริง ๆ แล้วโบราณาจารย์ท่านเก่ง ทางพม่าเขาแยกสายวิชาการของการปฏิบัติออกเป็นหลายอย่างด้วยกัน จะมีพวกสำเร็จประคำ สำเร็จยันต์ สำเร็จปรอท คือว่าตั้งหน้าตั้งตาชักประคำภาวนาไปเรื่อย คุณหมดกิเลสเมื่อไรก็จบ เรื่องของยันต์ก็เหมือนกัน เวลาเขียนต้องใช้สมาธิต้องทุ่มเท เท่ากับว่าทรงอารมณ์อยู่ตลอดเวลา เรื่องของปรอทก็เหมือนกัน ประเภทที่เรียกว่า หุงต้มไป หลอมไป ภาวนาไปอะไรอย่างนี้
              คราวนี้คนพื้นฐานสมาธิไม่มีแต่อยากรวย เพราะรู้ว่าทำปรอทแล้วเป็นทองได้อย่างที่ทำอยู่ในตู้นั้นแหละ ก็ตั้งหน้าตั้่งตาทำเพื่อไปขาย นั่นแหละมีแต่โลภขึ้นหน้าอยู่ ฟุ้งซ่านอยู่แล้วจิตจะเป็นสมาธิได้อย่างไร คนเขาก็แปลกใจ บางคนเรียนยี่สิบสามสิบปี เรียกว่า หลอมเสียจนหมดฟืนเป็นป่า ทำไมหลอมไม่สำเร็จ ของเราไปแป๊บเดียวหอบมาเป็นกุรุสเลย คือถ้ามีพื้นฐานเป็นสมาธิทุกอย่างทำง่ายหมด

ลูกแก้วนี่เป็นลูกแก้วจักรพรรดิ ?
      ตอบ:   แก้วจักรพรรดิ เพราะไปดูแล้วลักษณะเนื้อเหมือนกับของหลวงพ่อ แต่เสียดายว่าไอ้คนเสียสติดันไปทุบซะ คือลูกแก้วนั้น ตามประวัติบอกว่า ตอนนั้นท่านยังเด็ก ๆ อยู่ วันนั้นพ่อแม่ท่านออกไปทำนา ก็อุ้มท่านไปด้วย แล้วเอาท่านนอนไว้ในกระด้ง พอถึงเวลาพักกลางวันจะกลับมากินข้าว พอกลับมาถึงเจองูจงอางตัวเบ้อเร่อเลย มันขดล้อมกระด้งอยู่ พ่อแม่ก็ตกใจว่าจะทำอย่างไรดี ?
              คราวนี้โยมพ่อได้สติ ก็จุดธูปเทียน บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขาว่า “ถ้าสำแดงตัวมาเพื่อสงเคราะห์ลูกช้างอย่างไร ก็ขออย่าได้ทำอันตรายเด็กเลย” งูก็เลื้อยไป พองูไปแล้วก็เข้าไปดู ก็เห็นในมือเด็กมีแก้วอยู่ ก็เชื่อว่าเป็นของคู่บารมีของลูกของตัว แล้วตอนหลังมีเศรษฐีที่เป็นนาย เพราะว่าพ่อแม่เป็นทาสช่วยทำงานให้เขา เศรษฐีที่เป็นนายก็ต้องการจะเอา พยายามบีบบังคับทุกวิถีทางก็เอาไปไม่ได้ ท้ายสุดก็ต้องมาคืน
              คราวนี้ระยะหลัง ๆ ที่เขาเก็บต่อ ๆ กันมาจนถึงยุคหลังนี่ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่คนสติไม่ค่อยดีเอาไป มันเชื่อว่าลูกแก้วจักรพรรดิจะทำให้มันเหาะได้ คราวนี้เหาะไม่ได้ก็โมโห ก็ทุบแตกซะ พอทุบแตกกลายเป็น ๓ ชิ้น ๔ ชิ้น ก็มีคนโน้นเก็บไป คนนี้เก็บไป ทางวัดก็ได้ชิ้นใหญ่ไป มาตอนหลังคนที่ได้ชิ้นเล็ก ๆ ไปก็ต้องเอามาคืน เพราะว่าฝันเห็นแต่งูมาทวงอยู่ทุกคืน (หัวเราะ) ที่มั่นใจว่าเป็นแก้วจักรพรรดิ เพราะว่าลักษณะเดียวกับที่หลวงพ่อท่านมีอยู่ ของหลวงพ่อที่มีอยู่ก็ไม่ใช่ของหลวงพ่อโดยตรง เป็นหลวงปู่ชุ่มถวายมา หลวงปู่ชุ่มที่วัดวังมุย (วัดชัยมงคล) ที่ลำพูน องค์นี้หลวงพ่อบอกว่าสุดยอดมนุษย์จริง ๆ เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็น ถามว่าทำไมครับ ? หลวงปู่ชุ่ม ท่านเข้านิโรธสมาบัติได้ ๔ อิริยาบถ
              นิโรธสมาบัตินี่ จริง ๆ มันดับความรู้สึกหมดเกลี้ยงเลย ส่วนใหญ่เขาต้องนั่ง ถ้าไม่นั่งก็นอน ไม่นอนก็ยืน อิริยาบถใด อิริยาบถหนึ่ง แต่หลวงปู่ชุ่มเข้านิโรธสมาบัติได้ ๔ อิริยาบถ ไม่ทราบว่าท่านเดินได้อย่างไร ก็ในเมื่อจิตกับกายมันไม่ได้สัมพันธ์กันเลย แสดงว่าต้องใช้กำลังของอภิญญาอธิษฐานทับเอาไว้ก่อน
              เนื่องจากว่านิโรธสมาบัตินี่มีอยู่ ๒ ลักษณะ ลักษณะหนึ่งก็คือว่าส่งจิตไปตามภพภูมิต่าง ๆ พอครบเวลาแล้วค่อยกลับ อีกลักษณะหนึ่งก็คือใช้จิตจดจ่อพระนิพพานเท่านั้น แต่ว่าทั้งสองลกัษณะนี้จิตกับกายจะไม่เกาะกันเลย จิตจะไม่เกาะกายแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นถ้าไม่ใช้กำลังอภิญญาอธิษฐานไว้ก่อน คงบังคับให้ร่างกายเดินไม่ได้แน่ แล้วลูกแก้วจักรพรรดินี่ทำมาจากปรอท
              สมัยที่ข้ามไปพม่าแล้วมาอยู่กับท่านโมเช่ ระยะหนึ่ง ที่รอยต่อระหว่างด่านช้างกับเมืองกาญจน์อุทัยธานีนี่ ท่านโมเช่เขาทำปรอทเป็น เขาก็สอนให้ ปรอทนี่จะมีตั้งแต่ขั้นแรกคือ จับปรอท มีวิธี ปรอทนี่ในทางวิทยาศาสตร์ เขาถือเป็นโลหะ แต่ทางไสยศาสตร์ถือว่ามันมีชีวิตมันมาได้ มันหนีได้ มันกินได้ ต้องเอาอาหารไปล่อมันให้มันมา แล้วก็ต้องฆ่ามันให้ตาย ถ้าฆ่ามันไม่ตายมันก็หนี พอมันตายที่เขาเรียกว่า“เป็นตัว” คือมันจะแข็งขึ้นมา พอมันแข็งขึ้นมาแล้วก็จะมีการปลุกเสกของมันไปเรื่อย มันจะเป็นมหาเสน่ห์ ป้องกันภัย รักษาโรค ทำเป็นทอง ทำเป็นแก้ว ขั้นตอนจะเป็นอย่างนี้
              คราวนี้ปีนั้นมีพระจากฝั่งไทยข้ามไปเรียนเรื่องปรอท ๕ รูป พอทำถึงขั้นแรก สึกเกลี้ยงทั้ง ๕ รูปเลย คือขั้นแรกจะเป็นมหาเสน่ห์ เสร็จหมด ! ขนาดไปแอบทำกลางป่ากลางดง ผู้หญิงมาจากไหนก็ไม่รู้ เอาไปกินหมด มันจะเป็นมหาเสน่ห์ ป้องกันภัย รักษาโรค ทำเป็นทอง ทำเป็นแก้ว ปรอทที่เป็นทองที่นี่มี ที่ใส่ไว้ให้ดูเป็นตัวอย่าง
              คราวนี้ที่ทำเป็นแก้วนี่ ถ้าเป็นปรอทตัวผู้นี่จะเป็นแก้วจักรพรรดิ ถ้าเป็นปรอทตัวเมียจะเป็นแก้วราหู หลวงปู่ชุ่มท่านบอกว่า ท่านก็ทำไม่ได้ แต่หลวงปู่ชุ่มท่านสำเร็จปรอท เพราะว่าท่านเคยทำตะกรุดปรอทแจกพวกเราอยู่ สมัยนั้นเคยได้มา แต่ท่านบอกว่าท่านก็ทำเป็นแก้วไม่ได้ แต่ที่ท่านได้มานี่อาจารย์ทำให้ ก็ไม่ทราบว่าอาจารย์ท่านคือ หลวงปู่ครูบาศรีวิชัย หรือว่าเป็นอาจารย์ที่ท่านธุดงค์ไปศึกษาตอนข้ามไปพม่าก็ไม่รู้ ? ไม่ได้ถามรายละเอียดท่าน
              ตอนนั้นหลวงปู่ชุ่มท่านจะดังเรื่องตะกรุดปรอท และตะกรุดหนังลูกวัวตายในท้อง ๒ อย่าง ถ้ามีลูกวัวตายในท้อง ชาวบ้านจะรีบแล่หนังไปให้หลวงปู่ทำตะกรุด คราวนี้พอหลวงพ่อพาพวกเราไปกราบหลวงปู่ หลวงพ่อต่าง ๆ ที่เป็นพระสุปฏิปันโนสายเหนือ หลวงปู่ชุ่ม พอพบหน้า หลวงพ่อก็หัวเราะ พวกเราก็ถามว่า เรื่องอะไร ? หลวงพ่อท่านบอกว่า หลวงปู่ชุ่มเกิดเป็นพี่มาหลายชาติ แต่ว่าเป็นพี่ที่ทุกชาติก็ตายเพราะหลวงพ่อสั่งประหาร (หัวเราะ) เป็นพี่ที่รักน้องมาก ขนาดตายเพื่อรักษาวินัยทัพก็ยอม หลวงปู่ชุ่มท่านมาหาหลวงพ่อ ตอนนั้นท่านใกล้มรณภาพ หลวงปู่ชุ่มมรณภาพตอนปี ๒๕๒๓ ก่อนมรณภาพได้ไม่นาน ท่านมาหาหลวงพ่อ เอาแก้วจักรพรรดิให้ บอกว่าหลวงน้อง บริวารของหลวงน้องเยอะมาก การต่อไปข้างหน้าจะยิ่งเยอะมากกว่านี้ ถ้าหลวงน้องมีแก้วจักรพรรดิอยู่ บริวารมากเท่าไหร่ก็จะเลี้ยงดูเขาได้ แล้วก็ถวายหลวงพ่อไว้
              แล้วอีกองค์หนึ่งหลวงปู่ชุ่มถวายในหลวงไป เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวนะ ถึงเวลานึกถึง เราไม่ต้องมีหรอก แต่นึกถึงแก้วจักรพรรดิไว้ ถึงเวลาขออานุภาพแก้วจักรพรรดิช่วยสงเคราะห์ด้วย จะได้มีความคล่องตัวกว่าคนอื่นเขา ส่วนลูกเล็กที่เป็นแก้วราหู แก้วราหูก็จะมีช่องเล็ก ๆ อยู่ให้สำหรับสอดเชือกได้ แก้วราหูนี่เกิดจากปรอทตัวเมีย
              ตอนนั้นคุณอรรณพ กอวัฒนา ยังเป็นร้อยตำรวจโท ตชด.อยู่ ก็รับอาสาหลวงพ่อไปเป็นยามรักษาการณ์ ตอนหลวงปู่ชุ่มเข้านิโรธสมาบัติ หลวงปู่ชุ่มท่านก็เห็นคุณความดีของเขา ก็เลยมอบแก้วราหูไปให้ มาตอนหลังเพื่อนซี้กัน ก็คือตี๋เล็ก (สันต์ สมิทติเวช) ก็ยืมไป แล้วมันก็ไปเที่ยวซ่อง ไปเชียงใหม่ กิตติศัพท์สาวเชียงใหม่สวย เจ้าตี๋เล็กก็ไปรื่นเริง บันเทิงใจอยู่ในซ่อง ผู้กองอรรณพบอกว่า เขาร้อนใจบอกไม่ถูก โทรไปถาม ตี๋เล็กบอกว่า กูจะกลับแล้ว เที่ยวบินเที่ยวนั้นเที่ยวนี้ คุณอรรณพเขารอไม่ได้ ถึงขนาดไปดักรอที่ดอนเมือง


                                      
              คราวนี้แก้วราหูนี่ แกให้คนอื่นช่วยถักเชือกหุ้มเอาไว้ แล้วพอถึงเวลาก็แขวนติดตัวเอาไว้ ตี๋เล็กมันยืม มันก็เอาไปทั้งชือกทั้งหุ้มนั่นแหละ พอกลับมา ปรากฏว่าอรรณพก็ไปทวง คือใจของแกประเภทรับสัมผัสได้ บอกมันรู้สึกอย่างไรก็ไม่รู้ รู้สึกอยู่อย่างเดียวว่าจะเสียของไป มันต้องรีบทวงกลับ พอมาถึงเอยปากทวง เจ้าตี๋เล็กมันก็ยิ้ม โธ่เอ๊ย! ของแค่นี้ต้องหวงกันด้วย ก็อยู่ที่คอนี่ ก็ถอดให้ ปรากฏว่าพอถอดนี่ เจ้าสันต์หน้ามันเหลือ ๒ นิ้วเท่านั้นแหละ เพราะว่ามันเหลือแต่เชือกเส้นนั้น กับถุงเปล่า ๆ ทั้ง ๆ ที่ถุงมันถักปิดตายไปเลยนะ แก้วหายไปแล้ว เล่นเอาผู้กองอรรณพเกือบจะหักคอตาสันต์
              ตอนนั้น ๒ คน หนึ่งตี๋ใหญ่ คนหนึ่งตี๋เล็ก ตาสันต์เขาเรียก ตี๋เล็ก เขาก็เรียกผู้กองอรรณพ ซี้เขาว่า ตี๋ใหญ่มาตอนหลังก็ไปรายงานหลวงพ่อ หลวงพ่อก็บอก เออ! ก็มันอยากไปที่ไม่ดีนี่หว่า เขาไม่อยากอยู่กับเอ็งหรอก แล้วถามหลวงพ่อว่า ตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ หลวงพ่อบอก หนีมาอยู่ที่ข้านี่ (หัวเราะ) แล้วหลวงพ่อก็หยิบให้ดู
              ในเมื่อมาแล้วก็อุ๊บอิ๊บ ไม่คืน ปัจจุบันนี้ทั้ง ๒ องค์ ก็คงอยู่กับหลวงพี่อนันต์ เพราะว่าตอนที่หลวงพ่อมรณภาพ ย่ามหลวงพ่อ ปกติแล้วจะมีแก้วจักรพรรดิ มีมีดหมออยู่ด้ามหนึ่ง แล้วก็มีเครื่องมือของท่าน มียานัตถุ์ มีหมาก แค่นั้นเอง อย่างอื่นไม่มีหรอก ของเรามันมือซน หลวงพ่อส่งย่ามให้เมื่อไหร่ ก็ล้วงดูมีอะไรบ้าง วันนั้นล้วงเข้าไปเกือบตาย ไปโดนมีดหมอเข้าพอดี โอ้โห! มันดูดอย่างกับโดนไฟฟ้าเป็นหมื่น ๆ โวลต์ ดูดตัวลอยเลย คือกำลังใจเปิดรับพอดี คือของเราตอนนั้นใจสบาย ๆ คิดอยู่อย่างเดียว ล้วงดูพ่อมีอะไรบ้าง ? ไม่ได้ตั้งท่าตั้งทางอะไร ตรงล็อกพอดี โดนดูดเกือบตาย หลวงพ่อหันมาหัวเราะ บอกสมน้ำหน้ามึง (หัวเราะ)
              พอหลวงพ่อท่านมรณภาพ พระทั้งหมดก็คิดอย่างเดียวกัน ในเมื่อหลวงพี่อนันต์ท่านเป็นรองเจ้าอาวาสอยู่ จัดแจงผูกหูย่ามส่งรับไปเลย ปัจจุบันก็น่าจะอยู่กับหลวงพี่อนันต์ท่าน ถ้าไม่มีนี่ เลี้ยงวัดท่าซุงไม่ได้แน่ จำเป็นต้องมีจ้ะ หลวงพ่อท่านบอกว่า ท่านขึ้นไปดูแก้วจักรพรรดิของท่านพระอินทร์ที่ดาวดึงส์แล้ว ลักษณะเหมือนกันทุกอย่าง เพียงแต่ว่า แก้วจักรพรรดิของท่านปู่พระอินทร์อยู่ในความเป็นทิพย์ รัศมีก็เลยสว่างไสวอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าเป็นที่หลวงพ่อ หรือที่ในหลวงท่านมีต้องใช้ทิพยจักษุญาณดู ถึงจะรู้ว่าสว่างแค่ไหน สรุปว่า แก้วจักรพรรดิจริง ๆ ทำมาจากปรอท
              ตอนนี้ทางพม่าก็ยังมีอาจารย์หลายองค์ ที่ท่านสำเร็จปรอทลักษณะนี้ พอทำเป็นแก้วแล้ว อมแล้วจะเหาะไปไหนก็ได้ ไอ้รายโน้นของเขาก็คงคิดอยู่ในลักษณะว่า ในเมื่อเป็นแก้วแล้ว ต้องเหาะได้ พอเอาของหลวงปู่ทวดไป มันเหาะไม่ได้ มันใช้ไม่ถูกต้อง มันก็เลยทุบซะ รู้สึกว่าจะเป็นอะไรตายไม่รู้ ตายระยะเวลาไม่นานหลังจากทุบทำลาย
      ถาม:  แล้วเวลาจะใช้ ใช้อย่างไรคะ ?
      ตอบ:   อธิษฐานเอา ถ้าอย่างของเรานี่มีลูกแก้วของหลวงพ่อ ก็ใช้ควบคาถาเงินล้านอธิษฐานเอา โดยเฉพาะเรื่องลาภผล จะคล่องตัวมากเป็นพิเศษ
      ถาม:  แสดงว่าครูบาชุ่ม ท่านมีบารมีทางลาภ ?
      ตอบ:   มีไม่มี ท่านสร้างทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ หลวงปู่ครูบาชุ่มพาโยมสร้างทางขึ้นพระธาตุจอมกิตติ ถ้าไม่ได้ขนาดนั้นก็คงไม่ไหวหรอก
      ถาม:  (ไม่ชัด)
      ตอบ:   จะกลมหรือไม่กลม อะไรก็ตามจ๊ะ ถ้าเป็นรุ่นที่หลวงพ่อทำนี่ อานุภาพก็เกือบ ๆ จะเท่าของจริงจ้ะ
              ที่เขียนว่าปรอทเงิน ปรอททอง นั่นแหละจ้ะ ฝรั่งมันทำไม่ได้ มันทำได้ก็เอาไปปั่นรวมกับโลหะอื่น ๆ ลักษณะเหมือนกับปั่นเพื่ออุดฟัน อย่างนั้นเขาเรียกว่าปรอทเป็น มันจะมีพิษ โดยเฉพาะเข้าปาก มันขยายตัวหลายเท่านี่ ตับ ไต ไส้ พุง แย่เลย ก็ต้องฆ่ามันให้ตายก่อน
      ถาม:  สรุปว่าในหมู่พระสุปฏิปันโน ที่หลวงพ่อเคยพาลูกศิษย์ไปกราบนี่ ครูบาชุ่มมีวาสนาทางลาภที่สุดหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ:   ไม่ทราบเหมือนกันจ้ะ เพราะว่าไม่ได้เอ่ยถามหลวงพ่อท่าน แต่ว่าเท่าที่ได้ยินมา ก็คือว่าหลวงปู่ชุ่มนี่ หลวงพ่อท่านบอกว่าอัศจรรย์ตรงที่ว่าเข้านิโรธสมาบัติได้ ๔ อิริยาบถ ซึ่งท่านไม่เคยได้ยินว่ามีใครเคยทำได้มาก่อนเลย
              แล้วก็หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค ที่ตาคลี นครสวรรค์ ท่านบอว่า ถ้าในจำนวนพระปฏิสัมภิทาญาณด้วยกัน ก็องค์นี้แคสเซียส เคลย์ ของรุ่นเฮฟวี่เวท (หัวเราะ) สุดยอดเลย เพราะว่าท่านมรณภาพตอนอายุ ๑๒๘ ปี
      ถาม:  หลวงปู่สี ?
      ตอบ:   จ้ะ ป่านนี้สังขารท่านก็ยังอยู่ อย่างกับทองแดงเลย แล้วอีกองค์หนึ่งก็คือ หลวงปู่ครูบาธรรมชัย หลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้าในโลกยุคปัจจุบัน คือ ตอนช่วงของหลวงปู่แต่ละองค์ท่านยังอยู่ ท่านบอกว่า หลวงปู่ครูบาธรรมชัย ทิพยจักขุญาณยอดเยี่ยมที่สุด เพราะหลวงปู่ธรรมชัยท่านมา เพื่อรักษาโรค ถ้าหากว่าทิพยจักษุญาณไม่ดี บอกสมุฏฐานโรคไม่ถูก
      ถาม:  (ไม่ชัด) ครบ ๑๐๐ ปี หลวงปู่ปาน มีการแจกผ้ากาสายะ ผ้าสังฆาฏิ ครูบาชุ่มจะมีอยู่ ๒ ลักษณะ ลักษณะหนึ่งเป็นผ้าที่ใช้เข้านิโรธสมาบัติ อีกอันเป็นผ้าที่ใช้ทั่วไป มีความต่างกันอย่างไรครับ ?
      ตอบ:   เรื่องของอานุภาพไม่ต้องพูดถึง ท่านแจกให้เป็นอนุสติ นึกถึงท่านก็โอเคแล้ว
      ถาม:  เวลาตื่นนอนมาครับ ยังไม่ต้องลุก ให้ทำสมาธิได้เลย ผมก็ลองดู ทำอย่างนั้นมาหลายครั้ง พอตื่นปุ๊บ นึกได้ ก็ พุท โธ ต่อ แล้วก็หลับไปเลย อย่างนี้ผมทำอะไรผิดหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ:   ไม่ผิด กำลังใจที่จะหลับได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นปฐมฌานขั้นหยาบ ถ้าไม่เป็นปฐมฌานขั้นหยาบมันจะไม่หลับ อย่างน้อยนะ แต่คราวนี้ของเราจริง ๆ เราต้องการที่ว่าให้ภาวนาแล้วรู้ตัว จนกระทั่งลุกไปล้างหน้าล้างตา อาบน้ำอาบท่า ทำงานต่อไปเลย ถ้าอย่างนั้น ต้องผ่านการฝึกกันเป็นขนานใหญ่ เราต้องฝึกจนกระทั่งตื่นกับหลับ อารมณ์ใจเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้น ถึงเวลาหลับอยู่ใจก็ยังภาวนา ตื่นมาก็ภาวนา ของมันต่อ ขนาดตัวเองหลับอยู่มันยังรู้ว่าตัวเองหลับ พอจะตื่นมันต้องกำหนดใจ ถามตัวเองก่อนว่า พร้อมจะตื่นหรือยัง ถ้าพร้อมแล้ว ลืมตาลุกขึ้นนั่ง ยืน เดิน



ปรอทเป็นโลหะธาตุที่มีความประหลาดเนื่องจากมีลักษณะเป็นของเหลว สามารถอยู่ได้ในหลายๆลักษณะ คือ อยู่ในรูปของไอหมอก อยู่ในรูปของของเหลว และอยู่ในรูปของ "ของแข็ง" ปรอทยังแบ่งออกในอีกหลายลักษณะ เช่นปรอทหมอก ปรอทน้ำครำ ปรอทป่าช้า ปรอททะเล ปรอทจากถ้ำลอดปรอทขาว และปรอทจากชั้นใต้ดิน

ปรอทจากชั้นใต้ดิน เป็นปรอทที่พบจากการขุดแร่และสูบน้ำมัน เราสามารถพบปรอทจากการขุดแร่ทองแดง รวมทั้งการสูบน้ำมันปรอทจะอยู่รวมกันเป็นชั้นก่อนที่จะถึงน้ำมันดิบ น้ำมันเกิดจากการหมักหมมของซากพืชซากสัตว์ จึงสัณนิฐานได้ว่าปรอทคงลงมากินซากพืชซากสัตว์ในชั้นนี้จนกลายเป็นชั้นปรอทไป และปรอทกลุ่มนี้เองที่ถูกนำมาใช้ทางวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม หากจะกล่าวถึงคุณสมบัติทางไสยศาสตร์แล้วมันก็มีเหมือนปรอททั่วๆไป เพียงแต่ว่าพิษของปรอทพวกนี้จะมากหน่อยเท่านั้นเอง

ปรอทจากน้ำครำ เป็นปรอทสกปรกเช่นกัน แต่อาศัยการดักจับ อาจารย์โยธินกล่าวถึงประสบการณ์ว่าสมัยก่อนหากันได้ง่าย เพียงแค่เราล้างจานเอาเศษข้าวเททิ้งหน้าบ้านตกกลางคืนคุณตาจะชี้ให้ดูว่ามันเกิดพรายปรอทเป็นแสงเรืองๆตรงกองข้าวที่เราเททิ้งไว้ นั่นหละปรอทมันลงมากิน ถ้ามีเวลาก็เอาไข่ดิบเจาะรูวางไว้บริเวณดินเลนปรอทก็จะลงมากินเช่นกัน

ปรอทจากสินแร่ ปรอทพวกนี้พบจากการขุดแร่อย่างทองแดง นอกจากนี้ยังพบจากการขุดแร่เหล็ก หรืออย่างแร่เขาอึมครึมบางก้อนจะมีแร่ปรอทไหลผสมอยู่ภายใน มีลักษระเงางามแปลบปลาบมากกว่าพวกที่ไม่มีปรอทสีจะออกเทาดำ มากกว่าดำเป็นนิล ถ้าเหล็กไหลเขาอึมครึมก้อนไหนมีปรอทในตัวมากเป็นพิเศษจะมีอานุภาพทางล่องหนหายตัว และกันไข้ป่าเขี้ยวงาอสรพิษมากกว่าก้อนธรรมดาทั่วไปซึ่งไม่มีปรอทเข้าแทรก

ปรอทจากแร่ยังพบในแร่บางไผ่ ซึ่งเป็นแร่เหล็กไหลน้ำอย่างหนึ่ง มันเป็นแร่เหล็กตามธรรมชาติที่เนื้อในของแร่ชนิดนี้มีปรอทซึมอยู่ตามธรรมชาติ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมแร่ชนิดนี้จึงต้องกินน้ำคาวปลา ก็เพราะปรอทที่อยู่ภายในก้อนแร่มันต้องการจะกิน พบว่าแร่ก้อนไหนที่แตกหักจะมีพรายปรอทเกาะเป็นเลื่อมพรายสีขาวๆเรืองๆเห็นได้ชัดเจน เมื่อเอาก้อนที่แตกหักพ้นน้ำขึ้นมาปรอทภายในเนื้อแร่จะระเหิดหายไปในอากาศแต่นั้นไปก้อนแร่จะเริ่มผุจนกลายเป็นขี้ดิน

ปรอทจากว่าน เพราะว่านหลายชนิดดูดหรือดึงปรอทเข้าไว้ในตัวตามธรรมชาติรวมถึงต้นไม้บางชนิดอย่างต้นหนาดก็มีพรายปรอทอยู่ตามหลังใบและรากรวมถึงแก่น ต้นหนาดจึงเป็นที่หวาดกลัวของผียิ่งนัก หรืออย่างว่านพะตะบะก็เช่นกัน

ในบรรดาแร่และว่านที่มีปรอทแทรกอยู่ภายในจะมีฤทธิ์เป็นพิเศษคือยามคืนเดือนเพ็ญจะสามารถเรืองแสงสว่าง ถ้ามีฤทธิ์มากปรอทภายในจะถอดตัวออกมาหากินได้ อย่างแร่บางไผ่ก็สามารถแสดงฤทธิ์เป็นดวงไฟลอยไปหากินหรือลอยมาเล่นแสงจันทร์เช่นเดียวกันกับว่านโพงซึ่งมีปรอทอยู่ภายในสามารถถอดเจตสิกเป็นดวงลอยไปหากินได้

ปรอทจากหมอก เป็นปรอทบริสุทธิ์ มีฤทธิ์ร้าย ปรอทพวกนี้ชอบกินเกสรดอกไม้ โดยเฉพาะจากดอกไม้ที่มีพิษอย่างต้นลำโพง เราสามารถสัณนิฐานได้อย่างหนึ่งว่าปรอทเป็นภูติ เป็นชีวภูติที่ต้องการสร้างตบะสร้างฤทธิ์ให้ตนเอง จึงชอบแสวงหาว่านยาอาหารและพิษมาสะสมไว้ ทั้งหมดก็เพื่อให้ตัวมันมีอำนาจ และคงเป็นธรรมชาติที่ปรอทมีอำนาจสามารถดูดกลืนและกัดกินสารพัดสิ่งได้ อย่างไม่ต้องกลัวใคร

ดอกลำโพงเป็นดอกไม้ที่ปรอทชื่นชอบ อาจารย์โยธินกล่าวว่าหากใครมีวาสนาได้ดอกลำโพง ๕ ชั้น จะมีอำนาจฆ่าพิษปรอทได้และยามที่มันออกดอกบานขึ้นมาก็สามารถดักปรอทหมอกจากดอกลำโพง กลีบซ้อน ๕ ชั้นได้เช่นเดียวกัน

ปรอทจากป่าช้า มันเป็นปรอทพวกเดียวกันกับปรอทน้ำครำ แต่มีฤทธิ์สูงกว่าเยอะเนื่องจากมันผ่านการกินศพคน ไอปราณจากศพมนุษย์ที่ซึมอยู่ภายในตัวมัน น้ำเลือดน้ำเลืองเนื้อมนุษย์ที่ถูกมันย่อยจนกลายเป็นพลังชีวิตในตัวมันเมื่อถูกสะสมนานวันเข้าทำให้มันมีตบะเดชะ ภูติผีปีศาจจะกลัวปรอทประเภทนี้มาก เพราะรู้ดีว่ามันกินศพถือว่าแพ้ทางกันโดยธรรมชาติปรอทประเภทนี้จะพัฒนากลายเป็นภูติร้ายที่มีฤทธิ์ต่อไป

ปรอททะเล เป็นประเภทเดียวกันกับปรอทน้ำครำ แต่มีฤทธิ์มากกว่า เพราะผ่านการเสพแร่ธาตุในทะเลซึ่งทำให้เกิดตบะเดชะมากกว่าปรอทน้ำครำที่เสพแต่ของเน่าเหม็น ไม่เกิดตบะเดชะขึ้นมาได้ ปรอททะเลเมื่อเกิดตบะมาขึ้นก็พัฒนาเป็นภูติร้าย เป็นพรายทะเลที่ดูดเลือดคนสัตว์กินได้

ปรอทลงโป่ง เป็นปรอทที่พบตามโป่งดิน โป่งคือดินที่มีแร่เกลืออยู่ภายในสัตว์มักลงมากินยามค่ำคืนถือว่าเป็นยาอย่างหนึ่งของสัตว์ป่า นายพรานมักมาจังหวะมาดักยิงสัตว์ป่าบริเวณโป่งเมื่อสัตว์โดนยิต้องมีเลือดบ้างก็ล้มตายแถวนั้น พวกปรอทป่าจึงมักมาลงที่โป่งเพื่อเสพเลือดสัตว์ป่าที่หยดลงมานานวันเข้าพัฒนาตัวเองเป็นผีโป่ง ซึ่งบางคนเข้าใจว่าผีโป่งคือวิญญาณสัตว์ป่าที่ถูกยิง แต่ความจริงไม่ใข่ มันคือปรอทป่าที่มาลงโป่งเมื่อมันได้เสพเลือดเนื้อของสัตว์มากเข้าก็พัฒนาเป็นผีโป่งลอยไปหากินหรือแปลงร่างเป็นคนเป็นสัตว์ได้

ปรอท นอกจากมีชีวิตพื้นฐานของมัน ปรอทป่า ปรอทธรรมชาติจำนวนมากยังมีวิญญาณของเจ้าป่า เจ้าที่ เข้าควบคุมเป็นเจ้าของ เนื่องจากวิญญาณที่มีฤทธิ์ระดับเจ้าพ่อเจ้าแม่เมื่อได้ปรอทมาเป็นบริวารก็จะยิ่งมีอานุภาพมาขึ้น ดังนั้นดวงปรอท ดวงพรายที่ลอยหากินบางครั้งไม่ได้เกิดจากอำนาจปรอทเพียงอย่างเดียใ แต่หมายถึงมีวิญญาณของเจ้าพ่อเจ้าแม่เจ้าที่เจ้าป่าคอยกำกับอยู่เสมอ

ปรอท ถือว่าเป็นญาติใกล้เคียงกับเหล็กไหล มันคือสิ่งมีชีวิตในเครือเดียวกัน เมื่อพัฒนาให้ปรอทกลายเป็นปรอทบริสุทธิ์สูงสุดก็จะมีอำนาจประดุจเดียวกันกับเหล็กไหลชั้นยอดทุกประการ ดีไม่ดีจะมีอำนาจสูงกว่าด้วยซ้ำไป




ปรอทกรอ เป็นวิชาปรอทที่ซัดปรอทขึ้นรูปเป็นเม็ดกลมๆแล้วบรรจุเข้าสู่ลูกโลหะ เมื่อเอาปรอทกรอมากลิ้งดูจะได้ยินเสียงกริ๊งๆ ครืดๆ ตามแต่ปรอทที่ซัดไว้จะเป็นชั้นใด หากเป็นปรอทซัดชั้นยอดเสียงที่กังวานออกมาจากปรอทกรอจะกังวานไพเราะเป็นอย่างยิ่ง ความสำคัญของปรอทกรอก็อยู่ที่การหาปรอทซัดขึ้นรูปนี่เองและจะซัดปรอทได้ระดับใด ยิ่งเป็นปรอทชั้นสูงก็ยิ่งทำให้ปรอทกรอมีอานุภาพมากขึ้นตามลำดับ

ส่วนอานุภาพของปรอทกรอ มีตั้งแต่ส่งสัญญาณเตือนภัยได้ เป็นทั้งแคล้วคลาดคงกระพันหนังเหนียว กันไข้ป่า กันคุณไสยภูติผีปีศาจ ค้ำชูดวงชะตา เป็นเมตตามหานิยมในตัวด้วย เรียกว่ามีอานุภาพครอบจักรวาลคือดีในทุกๆด้านนั่นเอง แม้กระทั่งการนำปรอทกรอมานั่งสมาธิกรรมฐานกำหนดจิตตามลูกปรอทที่สั่นไปมาในเบ้าก็ทำให้เกิดสมาธิได้ดียิ่ง

ปัจจุบันปรอทกรอหายากมากครับ สมัยก่อนโด่งดังจากการพบปรอทกรอที่กรุศรีเทพ เมืองปราจีน และการพบปรอทกรอตามกรุวัดร้างแถบอยุธยาและสุโขทัย เดี๋ยวนี้หาผู้ทำปรอทกรอ ยากเพราะขาดความรู้ทางเล่นแร่แปรธาตุครับ

ปรอทธาตุกายสิทธิ์ เมื่อหุงขึ้นรูประดับแรกเรียกว่า ทนสิทธิ์ หมายถึงอำนาจแห่งความคงกระพันหนังเหนียว ไม่เสื่อม ของคงกระพัน ชั้นทนสิทธิ์ ตามตำราไสยศาสตร์กล่าวไว้ว่ามีอยู่หลายชนิด เช่นเหล็กน้ำพี้ก็เป็นของทนสิทธิ์ เด่นเรื่องคงกระพันล้างอาถรรพณ์ ตะกั่วเถื่อน ทองแดงเถื่อนก็เป็นธาตุทนสิทธิ์มีอิทธิฤทธิ์ทางคงกระพันเช่นกัน รวมไปถึงโคตรเหล็กไหลประเภทต่างๆก็เป็นทนสิทธิ์และของดีหายากอย่าง กะลาตาเดียว ไม้ตะเคียนหิน คตวิเศษต่างๆ ก็เป็นของทนสิทธิ์ตามธรรมชาติเช่นกันมีไว้กับตัวย่อมเป็นคงกระพันชั้นเลิศและไม่มีวันเสื่อมฤทธิ์ ผิดที่ว่าทนสิทธิ์จากปรอทนั้น ผู้ที่หุงหากได้รับธาตุรับยาและรังสีจากปรอทวิเศษชั้นทนสิทธิ์ จะทำให้เส้นผผม หนวดเครา และกระดูกเป็นทองแดง เนื้อหนังคงกระพันยิ่งนัก แถมยังมีเรี่ยวแรงมหาศาลอีกด้วย ปรอทชั้นที่สองเหนือกว่าทนสิทธิ์ขึ้นไปเรียกว่า กายสิทธิ์ ชั้นนี้ตัวเบาไม่ร้อนไม่หนาว อยู่ที่เย็นร่างกายก็อุ่นพอดี อยู่ที่ร้อนก็กลับเย็นสบาย ร่างเบาตัวเบา ถึงขนาดตกน้ำไม่จม ตกจากยอดตาลหรือยอดตึกก็ไม่เป็นอะไร แม้โดนถ่วงน้ำด้วยหินก็ไม่ตายเพราะอำนาจกายสิทธิ์จะสามารถทำให้อยู่ในน้ำได้อย่างสบาย หรือโดนไฟก็ไม่ไหม้เพราะอำนาจกายสิทธิ์คุ้มครองโดนไฟก็รู้สึกเพียงอุ่นๆเท่านั้น อำนาจชั้นกายสิทธิ์นี้แร่ตามธรรมชาติที่มีอำนาจทางด้านนี้ก็มีเหล็กไหลชั้นยอด ส่วนแร่ชนิดอื่นๆที่มีอำนาจใกล้เคียงแบบนี้ยังไม่ปรากฏพบ ปรอทชั้นยอดขึ้นไปเรียกว่า อะโลมะประสิทธิ์ มีอานุภาพถึงกับเหาะเหิรเดินฟ้าไปป่าหิมพานต์ได้ หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวันเล่าไว้ว่าสมัยก่อนแถวบ้านท่านเคยมีโยคีอินเดียลอยลิ่วตกลงมาจากฟ้า สมภารข้างบ้านรับตัวไว้รักษา โยคีท่านเล่าไว้ว่าท่านเหาะมากับเพื่อนตัวท่านเหาะมาด้วยฤทธิ์ปรอทสำเร็จ ส่วนเพื่อนใช้ฌานสมาบัติ ขณะเหาะมาเกิดการโต้เถียงกัน ปรอทหลุดออกจากปากท่านทำให้ท่านตกลงมาเช่นนี้ดีที่ไม่ตายแค่ขาหักเท่านั้น ก่อนจะจากกันโยคีท่านนี้ให้ตำราการหุงปรอทไว้ ส่วนโยคีก็หุงปรอทจนสำเร็จแล้วลาไปเมืองฟ้าป่าหิมพานต์ เรื่องนี้มีรายละเอียดพิสดารกว่านี้มาก ผู้นำมาเผยแพร่คือท่านอาจารย์สิทธา เชตวัน ตีพิมพ์ในโลกทิพย์เมื่อปี ๒๕๒๕ แสดงไว้ว่าการหุงปรอทนั้นมีจริงมีคนทำได้จริงแต่ต้องมีพลังจิตสูงมากจึงทำได้สำเร็จ นำมาลงไว้เป็นหลักฐานและวิทยาเพื่อการค้นคว้าเรื่องปรอทต่อไปครับ




แก้วมณีรัตนะ

แก้วมณีรัตนะ

ในจักกวัตติสูตร อังคุตตรนิกาย กล่าวถึงสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิว่า ประกอบด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ

๑. จักกรัตนะ (จักรแก้ว) ๒. อิตถิรัตนะ (นางแก้ว) ๓. มณีรัตนะ (ดวงแก้ว) ๔. ปรินายกรัตนะ (ขุนพลแก้ว) ๕. คหปติรัตนะ (ขุนคลังแก้ว) ๖. หัตถิรัตนะ (ช้างแก้ว) ๗. อัสสรัตนะ (ม้าแก้ว)

จักรแก้ว เป็นเครื่องหมายประกาศความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ อานุภาพแห่งจักรแก้วนั้น ยามปรากฏขึ้น จะดึงดูดเอามหาสมบัติทั้งหมดในสะดือทะเล (อยู่แถว ๆ ท้องทะเล แฮ่...) มาไว้ในท้องพระคลังหลวง และเป็นพาหนะให้ขุนพลแก้ว พาทหารทั้ง ๔ เหล่าทัพ เหาะไปปราบปรามในทวีปทั้งสี่ (เหมือนยานขนส่งอวกาศเลย...)

นางแก้ว เป็นอัครมเหสีคู่บารมีพระเจ้าจักรพรรดิ กลิ่นกายหอมเหมือนดอกอุบล หน้าหนาวเนื้อจะอุ่น หน้าร้อนเนื้อจะเย็น งามพร้อมด้วยเบญจกัลยาณีอิตถีลักษณ์ทุกประการ จะมีเทวดานำจากอุตรกุรุทวีปมาถวาย (ขอข้อยจั๊กคนแหน่...!)

ดวงแก้วมณีโชติ จะปรากฏผุดขึ้นใจกลางมหานคร แล้วเคลื่อนไปอยู่ในท้องพระคลัง ทำหน้าที่รักษาสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ ให้มีเพียงพอเลี้ยงดูประชากรทั้งโลก ส่องสว่างอยู่ชั่วกาลนาน (เป็นทั้งยาม ทั้งนายบัญชีเลยนิ...)

ขุนพลแก้ว ผู้ประกาศบารมีของพระเจ้าจักรพรรดิ ให้ปรากฏไปตลอดทวีปทั้ง ๔ ใครไม่ยอมสวามิภักดิ์ ก็เป็นหน้าที่ของขุนพลแก้วที่จะปราบปรามให้ราบคาบ รบกับใครไม่มีคำว่าแพ้ ถ้าพระเจ้าจักรพรรดิสละราชสมบัติ ขุนพลแก้วก็จะขึ้นเป็นพระเจ้าจักรพรรดิแทน...

ขุนคลังแก้ว เป็นผู้ดูแลทรัพย์สมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ หากยามใดที่ทรัพย์สมบัติมีทีท่าว่าจะไม่พอเพียง ขุนคลังแก้วก็จะใช้ทิพจักขุญาณ มองหาขุมทรัพย์ใต้ดิน แล้วขุดขึ้นมาเก็บไว้ในท้องพระคลัง บ้านเมืองใดขัดสน ก็ขุดขึ้นมาให้เขาใช้จ่าย (ขอมั่งฮี่...)

ช้างแก้ว เป็นช้างเผือกตัวประเสริฐ สมบูรณ์บริบูรณ์ด้วยคชลักษณ์อันอุดมมงคล จะมาสู่โรงช้างต้นด้วยตนเอง ยามออกรบแค่ช้างศึกฝ่ายตรงข้ามได้กลิ่น ก็แตกพ่ายไปเอง (แบบว่ามันเก่งมาตั้งแต่เกิดน่ะ...ฮิ...ฮิ...)

ม้าแก้ว เป็นม้าอาชาไนยแห่งลุ่มน้ำสินธุ เกิดมาผ่าเหล่าผ่ากอ (เอ๊ะ..ชมหรือด่ากันแน่หว่า...?) ปรากฏเป็นลักษณะอันประเสริฐ มีฝีเท้าจัด ยามวิ่งเหมือนเดินบนที่ราบ (นี่มันอัสดรพันลี้ในกำลังภายในละมั้ง...?) จะเดินมาเข้ากรง เอ๊ย...โรงม้าด้วยตนเองเช่นกัน...

ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะมณีรัตนะเท่านั้น เรื่องมีอยู่ว่า หลวงปู่ครูบาชุ่ม โพธิโก แห่ง วัดไชยมงคล (วัดวังมุย) จังหวัดลำพูน ท่านเป็นหนึ่งในพระสุปฏิปันโน ที่หลวงพ่อแนะนำให้ลูก ๆ ไปทำบุญด้วย ท่านมีวิชาปรอทสำเร็จ... คือท่านสามารถนำปรอทมาเสกเป็นตัว เพื่อทำตะกรุดปรอทได้ อาตมาเคยได้มาดอกหนึ่ง (ได้ให้ลูกปุ๊ก (สุมาลี ตีรเลิศพานิช) ไปแล้ว) อันวิชาปรอทสำเร็จนั้น สุดจะยากเย็นแสนเข็ญอยู่แล้ว และความสามารถของหลวงปู่นั้น หลวงพ่อเล่าว่า...

หลวงปู่ชุ่มสามารถเข้านิโรธสมาบัติด้วยอิริยาบถทั้ง ๔ (ปกติผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติ จะเข้าได้เฉพาะอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่ง ส่วนใหญ่ไม่นั่งก็นอน) ซึ่งหลวงพ่อเล่าว่าในชีวิตของท่าน ไม่เคยได้ยินว่ามีใครทำได้อย่างนี้มาก่อนเลย...

แต่ความสามารถระดับนี้ของหลวงปู่ชุ่ม ท่านทำได้แค่เสกปรอทเป็นตัวเท่านั้น หลวงปู่บอกว่า ครูบาอาจารย์ของท่านสามารถเสกปรอทเป็นแก้วได้ ปรอทนั้นมีทั้งตัวผู้ตัวเมีย ถ้าเสกปรอทตัวเมียจะเป็นแก้วราหู ถ้าเสกปรอทตัวผู้จะเป็นแก้วจักรพรรดิ...!

หลวงปู่ท่านไม่ใช่มีแต่ราคาคุยเท่านั้น ลูกศิษย์ใกล้ชิดบางท่านที่โชคดี ก็ได้รับแก้วราหูจากมือหลวงปู่ไปบูชา ส่วนแก้วจักรพรรดินั้นหลวงปู่ได้รับมาแค่องค์เดียว วันหนึ่งหลวงปู่ซึ่งทราบวาระของท่านเอง ก็ไปหาหลวงพ่อถึงวัดท่าซุง...

หลวงปู่ชุ่มได้มอบลูกแก้วจักรพรรดิแก่หลวงพ่อ พลางบอกว่า “หลวงพี่แก่แล้ว งานที่จะต้องทำไม่มีอีกแล้ว หลวงพี่ขอมอบแก้วจักรพรรดินี้ให้แก่หลวงน้องไว้ ต่อไปหลวงน้องต้องปกครองบริวารเป็นจำนวนมาก ลูกแก้วจักรพรรดินี้จะช่วยหลวงน้องได้มาก...”

หลวงพ่อสนองความเมตตาของหลวงพี่ (อดีตชาติท่านเป็นพี่จริง ๆ) รับเอาลูกแก้วจักรพรรดิไว้ หลังจากนั้นไม่นาน หลวงปู่ชุ่มก็มรณภาพ (เฮ้อ...ไม่น่ารับเล้ย รับแล้วหนีเลย) ส่วนหลวงพ่อก็พกแก้วจักรพรรดิติดองค์เรื่อยมา...

ต่อมา... “พระ” ท่านเสด็จมาบอกหลวงพ่อว่า หลวงพ่อจะต้องทำงานใหญ่ในกาลข้างหน้า ถ้าลูก ๆ ไม่มีความคล่องตัวในการเป็นอยู่ จะสนับสนุนหลวงพ่อได้ไม่เต็มที่ ขอให้ไปหาลูกแก้วมา ท่านจะช่วยเสกให้ ผู้ที่ได้ไปจะเหมือนกับมีแก้วสารพัดนึกไว้ทีเดียว...

หลวงพ่อท่านขึ้นไปที่ดาวดึงส์ ขอดูลูกแก้วจักรพรรดิของท่านปู่พระอินทร์ ปรากฏว่ามีลักษณะเหมือนของหลวงปู่ชุ่มเปี๊ยบเลย กระทั่งสีสันก็แทบไม่แตกต่างกัน ท่านปู่บอกด้วยว่า ขอให้หลวงพ่อทำตามที่พระท่านบอก ท่านปู่จะมาช่วยอีกแรงหนึ่ง...

หลวงพ่อให้ลูกศิษย์ไปหาลูกแก้วมา ลูกศิษย์ตัวดีก็เหลือเกิน ไปเหมาลูกแก้วเด็กเล่นที่บางลำพูมาทั้งกระจาด (จะให้ดีกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้) หลวงพ่อก็เมตตาทำพิธีให้ โดยมีแก้วจักรพรรดิเป็นองค์ประธาน แล้วแจกจ่ายให้แก่ลูกศิษย์เป็นการภายใน ๒ วาระ ปรากฏว่าผู้ที่รับไปต่างก็มีผลทางด้านลาภเป็นที่น่าอัศจรรย์...

ต่อมาจึงทำแจกเป็นการสาธารณะ โดยใช้แก้วคริสตัลของออสเตรียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งผู้ที่ได้ไปก็ประสพผลในด้านต่าง ๆ ทั้งลาภผล แคล้วคลาด คงกระพัน เป็นสารพัดนึกจริง ๆ หลวงพ่อจึงเรียกว่า “แก้วมณีรัตนะ” คือ เหมือนกับมีแก้วจักรพรรดิไว้ในครอบครองนั่นเอง...

หลวงพ่อเองก็ออกปากว่า ตั้งแต่ได้แก้วจักรพรรดิมา การงานการเงินมีความคล่องตัวมาก ในองค์หลวงพ่อพกของมงคลอยู่เพียง ๒ อย่าง คือพระบรมสารีริกธาตุ และลูกแก้วจักรพรรดินี้เอง การพุทธาภิเษกทุกครั้ง หลวงพ่อต้องนำแก้วจักรพรรดิมาเป็นองค์ประธาน

ลูกแก้วจักรพรรดิที่หลวงปู่ชุ่มมอบให้ เป็นลูกแก้วขนาดเขื่องกว่าลูกปิงปองเล็กน้อย มีลวดลายคล้ายสีทองในเนื้อแก้ว เปล่งแสงสีม่วงอ่อน เหลือบรุ้งสวยงามยิ่งนัก ต่อมางานของหลวงพ่อมากขึ้นทุกที “ท่านย่า” จึงมอบแก้วให้อีก ๑ องค์ บอกว่าเป็นองค์น้อง มีขนาดเล็กกว่านิดหน่อย หลวงพ่อก็ใช้ควบคู่กันเรื่อยมา...

อาตมาพบปาฏิหาริย์ของแก้วมณีรัตนะ อย่างชัดเจนที่สุดวาระหนึ่ง คืออาตมาตีเช็คล่วงหน้าไป ถึงเวลาหาเงินเข้าบัญชีไม่ทัน ถ้าหาเงินสองแสนบาทไม่ได้ภายในสองวัน ก็คงติดคุกหัวโตกันบ้าง หันหน้าไปพึ่งใครเข้าก็เบือนเป็นแถว (อีตอนพึ่งเราละวิ่งเข้าใส่...)

หมดท่าเข้าจริง ๆ อาตมาก็พึ่งลูกแก้วของหลวงพ่อ นำลูกแก้วมาตั้งเฉพาะหน้า แล้วอธิษฐานขอเอาดื้อ ๆ จากนั้นก็ตั้งอกตั้งใจภาวนา ผลที่ออกมาเหลือเชื่อ คือมีผู้ให้ยืมเงินจำนวนสองแสนบาท โดยที่คนให้ยืมนั้น เคยเห็นหน้าอาตมาครั้งเดียวเท่านั้นเอง...!

ผู้ที่ได้แก้วมณีรัตนะรุ่นแรก (แก้วเด็กเล่น) ไป ถึงได้หวงกันเป็นนักหนา ถึงลักษณะเป็นลูกแก้วเด็กเล่น แต่อานุภาพไม่ได้ล้อเล่นด้วย ท่านปู่พระอินทร์บอกว่าอานุภาพเกือบเท่าของจริงเลยทีเดียว (มิน่าล่ะ...ขออะไรได้อย่างนั้นเลย...)

แก้วมณีรัตนะรุ่นแรกนั้น อาตมาได้รับจากหลวงปู่มหาอำพัน โดยที่ผู้ได้รับพร้อมกันมี พี่มุกดา (คุณมุกดา เพชรชื่นสกุล) เกียง (มาลินี ตีรเลิศพานิช) ลูกปุ๊ก (สุมาลี ตีรเลิศพานิช) ต่างคนต่างรักษายิ่งกว่าชีวิต เพราะของดีของมงคลที่รับจากมือครูบาอาจารย์แบบนี้ ใช่ว่ามีกันบ่อยเสียเมื่อไร รับจากคนอื่นอาจเป็นของปลอมก็ได้ใครจะรู้...!

๒๘ มีนาคม ๒๕๓๓
พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

วิธีการดูโฉลกอาวุธ (ดาบ มีด อาวุธอื่น ๆ)

วิธีการดูโฉลกอาวุธ (ดาบ มีด อาวุธอื่น ๆ)

ใช้นิ้วหัวแม่มือทาบขวางลงบนใบอาวุธ เริ่มจากหัวแม่มือขวาก่อน แล้วเอาหัวเเม่มือซ้ายซ้อนทับหัวเเม่มือขวา ทับซ้ายทับขวาไปเรื่อย ๆ จนหมดความยาวของอาวุธ ถ้ายังไม่สุดความยาวก็นับวนใหม่จนหมด ตกข้อไหนก็ดูคำทำนายเอา นับไล่ลำดับไปดังนี้

๑. ศรีวิชัย เป็นอาวุธคู่บารมี ชนะในทุกที่
๒. ภัยนิรันดร์ พาเจ้าของเดือดร้อนตลอดเวลา
๓. สุพรรณลาภ จะได้แก้วแหวนเงินทอง
๔. ปราบนคร จะได้บ้านเมืองมาเป็นข้าขอบขัณฑสีมา
๕. จรประสิทธิ์ ไปไหนก็พบกับความสำเร็จทุกที่
๖. ฤทธิเดช เป็นมหาอำนาจ ศัตรูคร้ามเกรง
๗. วิเศษสมบัติ จะร่ำรวยมหาศาล
๘. พลัดบ้านเมือง จะตกระกำลำบาก พลัดบ้านพลัดเมือง
๙. เลื่องลือยศ จะมีชื่อเสียงเกียรติคุณขจรขจาย 


คัดลอกจากเว็บกระโถนข้างธรรมาสน์

พิธีพุทธาภิเษก และ การห้อยพระที่ถูกต้อง โดย หลวงพ่อฤาษี ลิงดำ

พิธีพุทธาภิเษก และ การห้อยพระที่ถูกต้อง 
โดย หลวงพ่อฤาษี ลิงดำ

     วิธีการปลุกพระ ปลุกผ้ายันต์ และวัตถุมงคลต่างๆ ถ้าพระที่เข้าขั้นที่เรียกว่าได้ทิพยจักขุญาน โดยมากเขาไม่ทำเองนะ เขาเที่ยววานพระมาทำ พระพุทธเจ้าบ้าง พระปัจเจกพุทธเจ้าบ้าง พระอริยสงฆ์บ้าง เทวดาบ้าง พรหมบ้าง อันนี้ก็สบายดี แต่หากว่าถ้าทำเองไม่นานมันก็เจ๊ง ตัวเองยังคุ้มครองตัวเองไม่ค่อยได้ คนมันก็ตายนี่ แล้วมันจะไปคุ้มครองความตายของใครเค้าได้ วิธีทำฉันก็บวงสรวงชุมนุมเทวดา อาราธนาบารมีพระทั้งหมด ตั้งแต่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสาวกทั้งหมด ตั้งแต่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสาวกทั้งหมด พรหมทั้งหมด เทวดาทั้งหมด ครูอาจารย์ทั้งหมด ฉันยกยอดเลย ยกยอดในเมื่ออาราธนาก็เห็นท่านมากันครบถ้วน แล้วมาทำกัน เมื่อท่านบอกว่าไม่มีอะไรจะบรรจุแล้ว เต็มแล้ว ฉันก็เลิก จงจำไว้นะ การที่เราจะเสกพระเสกยันต์อะไรต่ออะไรนี่นะ ถ้าเสกด้วยอำนาจกำลังของเราล่ะก็ ไม่ช้ามันก็เสื่อม เราน่ะมันดีแค่ไหน การเสกว่าคาถาต่างๆ นี่ก็เป็นการอาราธนาบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเทวดา หรือพรหมมาช่วย แต่ว่าคาถาบางอย่างก็จะว่าแต่เฉพาะบางจุด

      การเสกพระเสกเจ้า หรือผ้ายันต์เสก อะไรต่ออะไรพวกนี้ ถ้าเราเอาตัวของเราออกเสีย เราไม่เข้าไปยุ่ง แต่อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสาวกทั้งหมด พรหมหรือเทวดาทั้งหมดท่านมาช่วย ท่านทำประเดี๋ยวเดียวสองสามนาทีมันก็เสร็จ ดีกว่าเราทำ ๑,๐๐๐ ปี แล้วจะเอาอะไรบ้างก็อาราธนาบอกท่าน บอกว่าขอให้ได้อย่างนั้นอย่างนี้ แต่อย่าลืมนะ ถ้าใช้ในทางทุจริตหรือกฏของกรรมบังคับ ไม่มีอะไรที่จะคุ้มครองใครได้ ถ้าหากว่าใครเลวอยู่แล้วก็คอยพยุงๆ ให้เลวน้อยลงไปนึดหนึ่งได้ ถ้าใครดีขึ้นมาหน่ยก็พยุงให้ดีมากได้ นี่เป็นกฏของอำนาจ พุทธบารมี ธรรมบารมี สังฆบารมี และพรหมและเทวดาทั้งหลาย การทำตัวเป็นคนเก่งเองน่ะ มันใช้ไม่ได้ มันต้องให้พระท่านเก่งซี พระพุทธท่านเก่ง พระธรรมท่านเก่ง พระสงฆ์ท่านเก่ง พรหมท่านเก่ง เทวดาท่านเก่ง ของที่เราทำจะตามไปคุ้มครองชาวบ้านชาวเมืองได้ยังไงทุกคน ถ้าหากพระก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดี ท่านช่วยคุ้มครอง ท่านก็มองเห็นได้ถนัด สงเคราะห์เขาได้โดยสะดวก

      พระของฉัน หรือของๆที่ฉันออกแจกก็ตาม ฉันไม่เคยบอกว่าของๆฉันเป็นของคงกระพันชาตรี อันนี้ต้องจำกันไว้ด้วย ใครที่รับของๆฉัน แล้วจงทราบว่า ฉันไม่เคยรับรองเรื่องคงกระพันชาตรีเพราะเรื่องนี้ถ้าใครรับรองคนนั้นก็โง่ มันเป็นกฏของกรรม คนที่เหนียวๆ ยิงไม่ออกฟันไม่เข้า แต่ก็ทะลุทุกราย ถ้ากรรมชั่วมันเข้ามาถึงแล้ว กรรมใดที่เป็นบาปมันก็เปิดโอกาสให้คนหนังเหนียวนี่ตายเพราะอาวุธนับไม่ถ้วน

      ความมุ่งหมายในการใช้พระคล้องคอ โดยมาพวกเรามักเข้าใจผิดกัน ที่พระท่านทำไว้ให้คล้องคอ ก็หมายถึงว่า บุคคลที่มีใจเคารพในพระพุทธเจ้า มีใจเคารพในพระธรรม มีใจเคารพในพระอริยสงฆ์ แต่ทว่ามีกำลังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการยังอ่อนอยู่ ฉะนั้น จึงได้ทำรูปเปรียบของพระพุทธเจ้าก็ดี รูปเปรียบเทียบของพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งก็ดี ที่เป็นที่เคารพนับถือห้อยคอไว้ ถ้าหากว่าเรานึกถึงพระท่านไม่ออก จะได้นำพระขึ้นมาดู รูปนี้เป็นรูปขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแนะนำให้เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามระบอบแห่งความดีที่เรียกว่า พระธรรมวินัย

      นี่คือความเป็นจริงเป็นความมุ่งหมายของผู้ทำต้องการอย่างนั้น หมายความว่าคนที่มีพระห้อยคอ ควรจะทำใจอย่างพระหรือมิฉะนั้นคนที่มีพระห้อยคอ ก็ควรที่จะทำตามพระแนะนำ ให้ปฏิบัตดี ปฏิบัติชอบ แต่พวกเราก็กลับมาพลิกแพลงเสีย เอาพระไปตีกับชาวบ้านเขา ไปยุให้พระตีกัน

      พระที่นำมาห้อยคอนี่ พระท่านทำขึ้นมาก็ด้วยอาศัยอำนาจของพระพุทธานุภาพนะ อำนาจของพระพุทธานุภาพนี่สามารถที่จะช่วยคนที่ยังไม่ถึงอายุขัยให้พ้นจากอันตรายได้ ที่เรียกว่า "พระเครื่อง" อันนี้ใช้ได้ แต่ถ้าหากจะเรียก "เครื่องรางของขลัง" อันนี้ใช้ไม่ได้ พระทุกองค์ท่านทำมาไม่ใช่ของขลังท่านทำมาด้วย วิธีที่เรียกว่า พุทธศาสตร์ ไม่ใช่ ไสยศาสตร์ พุทธศาสตร์กับไสยศาสตร์มีค่าต่างกัน

      พวกของขลังนี่เป็นไสยศาสตร์ เขาทำมาเพื่อขาย สำหรับพุทธศาสตร์ เขาทำเพื่อการสงเคราะห์ เพื่อให้บุคคลที่มีพระประเภทนี้ไว้ ถ้ามีจิตใจเคารพในคุณพระรัตนตรัย ถ้าไม่ถึงอายุขัย ถ้าอันตรายของชีวิตพึงจะเกิดขึ้น ก็สามารถปลอดภัยจากอันตรายนั้นได้



จาก หนังสือสมบัติพ่อให้
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤาษี ลิงดำ)

พหุยุทธ การต่อสู้ของโบราณ

 พหุยุทธ การต่อสู้ของโบราณ


                                


ถาม:  หลวงพี่คะ ไปดูหนังเรื่ององค์บากมา ๒ รอบแล้ว
      ตอบ :  เป็นอย่างไร ตกลงเป็นหนังไทยหรือหนังเขมรกันแน่
      ถาม :  พระเอกหน้าเหมือนเขมรหรือคะ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่หรอก ชื่อออกไปทางนั้น สุรินทร์นี่ไม่กุยก็เขมร กุยคนไทย เรียกส่วย เขาจะมีภาษาพูดต่างหากของเขา อีกพวกหนึ่งก็เขมร แต่ฟังชื่อพระเอกแล้วเขมรชัวร์
      ถาม :  นักมวยไม่ใช่หรือครับ ใช่มวยโบราณหรือเปล่า ?
      ตอบ :  การต่อสู้ของโบราณเขาเรียก พหุยุทธ พหุ แปลว่า มาก จะใช้หมัด เท้า เข่า ศอก ศีรษะ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเป็นอาวุธได้ทั้งหมด หลักการต่อสู้ขั้นต้นมันต่างกัน แต่ถ้าทำถึงตอนสุดท้ายมันเหมือนกัน จะเหมือนกันตรงที่ว่าหากก้าวขึ้นระดับสูงต้องใช้กำลังใจมากกว่ากำลังกาย จะใช้สติสัมปชัญญะควบกับสมาธิ
      ถาม :  อีกหน่อยมวยไทยจะขึ้นมาเป็นอาวุธประจำชาติ คนรุ่นใหม่จะใช้เยอะ
      ตอบ :  ตอนนี้ฝรั่งเขาจะเห่อมวยไทยกันมาก ต่างประเทศเขาจะมีค่ายมวยไทยเป็นปกติ หลายประเทศอย่างเนเธอร์แลนด์ ถ้าใครฝึกมวยไทยเขาต้องไปขึ้นทะเบียนมือไว้ เขาถือว่ามือเป็นอาวุธถ้าใช้ไปทำอันตรายคนอื่นผิดกฎหมายเท่ากับใช้อาวุธ
      ถาม :  มือเป็นอาวุธหรือครับ ถ้าเราใช้ศอกแทนได้ไหม ?
      ตอบ :  เหมือนกัน อวัยวะในร่างกายของคุณ ถ้าหากส่วนไหนที่คุณใช้เป็นอาวุธก็เสร็จเลย เขาป้องกันคนของเขาขนาดนั้น เพราะเขารู้ฤทธิ์มวยไทยดี
      ถาม :  นี่ขนาดเป็นมวยเวทีนะครับ ถ้าเป็นมวยโบราณจะอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  มวยโบราณนี่ทีเดียวอยู่ ตั้งแต่อาตมาลงมือมายังไม่เคยซ้ำใครเลย เพราะฝึกแบบโบราณ มวยโบราณเขาจะมีแม่ไม้ลูกไม้และจะมีท่าลับไม้ตาย รับรองว่าทีเดียวอยู่ไม่ต้องซ้ำ
      ถาม :  ถ้าหลวงพี่เป็นคนสอนมวยท่าจะดีค่ะ
      ตอบ :  เคยสอนแล้วที่วัดท่าซุง สอนเด็กวัด วันแรกมีมา ๕-๖ คน วันที่สองมา ๒๐ กว่าคน วันที่สามเหลืออยู่ ๒ คน เด็กสมัยนี้ความอดทนไม่พอ เริ่มดันขึ้นมาก็จะเข้าท่าเลยไม่ได้ ต้องเริ่มจากพื้นฐานถ้าพื้นฐานไม่ดี โอกาสบาดเจ็บมีสูง สมัยที่หัดอยู่เฉพาะท่าก้าวเดินอย่างเดียวครูเขาให้หัดอยู่ครึ่งปีเต็ม ๆ ถ้าไม่ได้อย่างใจเขาไม่เปลี่ยนให้
      ถาม :  ผมเองรู้จักคนเป็นมวยจีน มีตบมีเตะ ที่ลอยมาก มันต่างกันไหมครับมวยไทยกับมวยจีน ?
      ตอบ :  ก็บอกแล้วว่า พอถึงจุดสุดท้ายแล้วมันเหมือนกัน
      ถาม :  ผมเห็นมวยไทยที่ตี ๆ กันทุกวันนี้ไม่ค่อยท่าไหร่
      ตอบ :  ไอ้นั่นเขาใช้กำลังกาย แต่ถ้าหากว่าคุณไปเจอของแท้แล้วคุณจะรู้ว่าเป็นอย่างไร ลักษณะเหมือน ๆ กับกำลังภายในเลยล่ะ อย่างพวกเหินเตะ ท่าหนุมานเหินหาว ของเราไม่มีใครเขาทำให้เห็น ปัจจุบันที่แสดงอยู่ก็มีอาจารย์สเกณฑ์ แก้วผดุง คนเดียว เขาเป็นอาจารย์เปิดค่ายมวยไทยอยู่อังกฤษ อันนั้นทำได้คือเขาให้ฝรั่งยืนขึ้นแล้วอีกคนหนึ่งขี่คอ เอาดาบเสียบลูกแอปเปิ้ลแล้วชูสุดแขน เขาเตะถึง
      ถาม :  แล้วหลวงพี่เตะถึงไหมคะ ?
      ตอบ :  สมัยนี้ไม่รู้ว่าจะไหวไหม
      ถาม :  สมัยโน้นก็ได้
      ตอบ :  สมัยโน้นให้คนล็อคคออยู่ เตะกบาลมันได้
      ถาม :  หลวงพี่เปิดสอนดีกว่าค่ะ
      ตอบ :  ก็บอกแล้วว่ามันอดทนไม่พอ ในเมื่ออดทนไม่พอไม่รู้จะว่าอย่างไร ช่วงที่ว่านั้นแหละ วันแรก ๕-๖ คน วันที่สอง ๒๐ กว่าเกือบ ๓๐ คน วันที่สามเหลือ ๒ คน แล้ว ๒ คนก็อยู่ได้ไม่ถึง ๗ วันก็ไปอีกแล้ว เขาอ้างว่าเขาจำเป็นต้องขึ้นเวทีเลย
              เขาก็ถามว่าคู่ต่อสู้ของเขามันรัดเอวตีเข่าเก่งมากจะทำอย่างไร ก็เลยบอกว่าถ้าเป็นผมก็สบายมาก คนเอามือมารัดเอวเราอาวุธมันหมดไป ๒ อย่างแล้ว หมัด ๒ ข้างมันไม่ได้ใช้แล้ว เขาบอกว่าถ้าปรานีเขาก็ให้เบา ๆ หน่อย แต่ถ้าไม่ปรานีไม่เห็นแก่อนาคตก็หักแขนมันทิ้งไปเลย เราดูตรง ๒ แขน ดูตรงจุดนี้จุดอื่นไม่ได้ งอศอกแนบตัวแล้วกระชากลงไป ถึงได้บอกว่ามวยไทยโบราณไม่ต้องซ้ำโดนตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น ไอ้คนแขนหักมันจะเหลือหรือ คุณลองจิ้มลงไปมันจะเป็นจุดอ่อนระหว่างแขนพอดี
              ลองดูว่าตั้งใจกระชากศอกลงไปเต็ม ๆ มันจะเป็นอย่างไร นั่น ๑ ใน ๓๖ จุดของร่างกาย มวยไทยเขาสอน มวยจีนเขาก็อาศัยเรื่องจุดเรื่องเส้นเหมือนกัน มันจะเป็นจุดอ่อนของร่างกายที่ป้องกันไม่ได้ เพราะว่าเราดันเอาแขนไปรัดเขา แล้วมวยไทยโบราณเขาอนุญาตให้เตะผ่าหมากได้ ตอนสมัยที่เรียนอยู่บอกว่า ครูครับทำไมถึงให้เตะผ่าหมากได้ ครูบอกว่าร่างกายคนมี ๒,๕๐๐ ตารางนิ้ว แค่ ๑๐ ตารางนิ้ว ป้องกันไม่ได้สมควรโดนจริงไหม
      ถาม :  ที่เขาฟาดลงไปบนหัว ไม่ตายหรือคะ ?
      ตอบ :  บนหัวไม่เหลือหรอกจ้ะ
      ถาม :  เอาศอกลงไป หัวเป็นที่ ๆ แข็งที่สุดและก็เป็นจุดอ่อนที่สุดด้วยหรือคะ ?
      ตอบ :  จุดอ่อนก็คือ อยู่ที่กลางหัวและขมับสองข้าง
      ถาม :  แต่ว่าท่าที่เอาหัวชน อันนั้นเป็นอย่างไรคะ ?
      ตอบ :  อันนั้นเขาใช้หน้าผาก กระดูกส่วนหน้าผากจะแข็งกว่า ท่านั้นเขาเรียกว่า ฤๅษีมุดสระ จะพุ่งใช้หัวชน โบราณคำว่าพยุหยุทธ เขาใช้อาวุธครบทุกส่วนกระทั่งหัวด้วย สมัยนี้หัวเขาไม่ให้แล้ว มีขบวนทุ่ม ทับ จับ หัก สมัยนี้ดันไปเรียกว่ายูโด ที่แท้เป็นมวยไทย บอกแล้วว่าแรก ๆ ต่างกัน แต่พอถึงท้าย ๆ จะเหมือนกันเพราะต้องใช้กำลังสมาธิควบกัน กำลังกายใช้ได้แค่กำลังอย่างเดียว แล้วยังมีประเภทเลี่ยงที่แข็งตีที่อ่อน ผ่อนหนักให้เป็นเบา อะไรพวกนี้
      ถาม :  แต่ท่าที่ จา พนม เขาทำ หนูว่ามันเปิด ๆ คือเวลาตั้งการ์ดยังไงก็เปิด ๆ ค่ะ
      ตอบ :  มันอยู่ที่ความคล่องตัว ของเขาบางอย่างเป็นการล่อให้คู่ต่อสู้เข้ามาทำ ก็อยู่ในลักษณะเปิดจุดอ่อน มวยไทยของเราถ้าหากว่าพลาดก็เสร็จเขาเลย เพราะมีหลายท่าที่ต้องล่อให้เขานำก่อน แต่ถ้าหากว่าเรากันได้แล้ว ใช้ท่าของเราออก เขาก็เสร็จเลยเหมือนกัน
      ถาม :  ต้องหุ่นคนตัวใหญ่ ๆ แบบฝรั่งหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ไม่จำเป็น ครูแนบ ชมศรีเมฆ เขาเป็นโปลิโอด้วย ต่อให้ลูกศิษย์ด้วยการนั่งอยู่บนครกตำข้าว ลูกศิษย์ ๔ คน รุมอยู่รอบตัวทำอะไรไม่ได้ ขนาดต่อให้ ๒ ขา เหลือแต่แขนแล้วนะ เป็นโปลิโอแต่เตะหนักมากเลย
      ถาม :  อ้าว แล้วแกบังคับขาของแกได้อย่างไรคะ ?
      ตอบ :  เขาไม่ได้เป็นจนกระทั่งบังคับขาไม่ได้ เป็นลักษณะสั้นข้างยาวข้าง อย่าเข้าไปในจังหวะที่เขาเตะถึงก็แล้วกัน
      ถาม :  แล้วตำราที่ว่าด้วยเรื่องมวยไทยทุกจุดของร่างกาย
      ตอบ :  ส่วนใหญ่สืบต่อกันมา ไม่ได้ไปผลิตขายเป็นตำรา แต่ว่าลูกศิษย์อาจารย์เดียวกัน คนหนึ่งคือปัญญา ไกรทัศน์ ซึ่งเห็นแก่เงินมากไป เอาไปทำเป็นตำราขายฝรั่งไปเรียบร้อยแล้ว สมัยก่อนถ้าอายุไม่ถึง ๒๕ ปี ครูเขาจะไม่ปล่อยให้ขึ้นไปต่อสู้กับใคร เขาถือว่ากระดูกยังไม่แข็งพอ แต่สมัยนี้เอาเด็กเพิ่ง ๑๐ ขวบขึ้นไปตีกันให้มั่ว
      ถาม :  คำว่ากระดูกยังไม่แข็งพอ นี่หมายถึงว่าอาจจะหักง่าย ๆ หรือคะ ?
      ตอบ :  พูดง่าย ๆ ก็คือว่า ถ้าหากคู่ต่อสู้อายุมากกว่าเขาก็จะไม่ให้สู้ด้วย เพราะว่าถือว่าเขากระดูกแข็งกว่า ผ่านประสบการณ์มามากกว่า เขาไม่เกี่ยงน้ำหนัก เขาเกี่ยงแค่อายุ น้ำหนักไม่เกี่ยง ตัวใหญ่ตัวเล็กแค่ไหนได้ทั้งนั้น แล้วอีกอย่างก็คือถ้าไหว้ครูท่าเดียวกัน ถือว่าเป็นศิษย์สายเดียวกัน เขาไม่ชกกันหรอก สมัยนี้เห็นกี่คน ๆ ขึ้นไปก็เทพพนม พรหมสี่หน้าเหมือนกันหมด
      ถาม :  จะโดนฝรั่งซึ่งเขามีมาก ต่างชาติจะเอาวิชาไป
      ตอบ :  ถ้าเรามีวินัย ฝรั่งทำอะไรไม่ได้หรอก เพราะว่าธรรมชาติเขาใช้คืนไม่เป็นดูอย่าง รามอน เดร็กเกอร์ ที่ชนะไทยได้ ก่อนชกแต่ละทีเขาซ้อม ๓ เดือน แล้วพี่มาดของเราซ้อมถึง ๓ วันไหม ถ้าเรามีวินัยแบบเขาก็สบาย มวยฝรั่งที่อายุการชกของเขามาก อย่างเช่นว่า ๓๐ กว่า ๔๐ หรืออายุ ๕๐ กว่ายังชกได้ เพราะว่าเขามีวินัยในการซ้อม เขาซ้อมจนกว่าเขาจะมั่นใจเขาถึงขึ้นชก ของเรามันมั่วไปรับสตางค์อย่างเดียว
      ถาม :  กลัวอย่างเดียว เอาวิชาไปเบ่งพาวเวอร์กับคนไทยอย่างนี้ครับ
      ตอบ :  จะไปยากอะไรล่ะ ยูโดใคร ๆ ก็รู้ว่าเริ่มที่ญี่ปุ่น แต่แชมป์โลกยูโดไม่เคยมีญี่ปุ่นสักที
      ถาม :  แชมป์ซูโม่ ยังเป็นคนฮาวายเลย
      ตอบ :  อเมริกัน ฮาวาย เป็นแชมป์มาตั้ง ๗ ปีซ้อนแล้ว บอกแล้วว่าวินัยต่างกัน ของเราพอไปถึงจุดหนึ่งสบายแล้ว จะขี้เกียจเหมือนลักษณะของเรา ฝึกสมาธิจะต้องขยันอดทน แล้วก็ทำสม่ำเสมอ


คัดลอกจาก : กระโถนข้างธรรมาสน์ พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ