เขาใช้ปกติจนเราไม่รู้ว่าเขาใช้ ลักษณะของสมัยก่อนอย่างพวกการแสดง พวกลิเก พวกโขน พวกโนราห์ พวกอะไร เขาจะใช้ไสยศาสตร์เป็นปกติ โดยเฉพาะวงที่ประชันขันแข่งกันยิ่งใช้กันหนัก เพราะฉะนั้นบรรดานายวงจะต้องมีความรู้ รู้ทั้งผูกรู้ทั้งแก้ ไม่อย่างนั้นแย่สู้เขาไม่ได้ และก็เรื่องของการค้าขายก็เหมือนกัน มันจะอยู่ลักษณะที่ว่านั่นแหละ เสกธงปักไว้คนมองเห็นธงต้องเข้าไป หรือไม่ก็เสกกลองตีไป เสียงกลองดังได้ยินถึงใครคนนั้นต้องเข้าร้าน มันจะมีของมันอยู่ บางอันมันใช้ของอาถรรพ์อย่างเดือยงูเหลือม เคยได้ยินไม๊ ?
งูเหลือมนี่มันไม่ใช่มีกันทุกตัวนะ มันมีบ้างไม่มีบ้าง งูเหลือมที่มีเดือยถึงเวลามันขี้เกียจ มันจะเอาเดือยไปขีดวงเอาไว้แล้วมันก็นอน สัตว์อะไรเดินเข้าไปในวงนั้นแล้วจะออกไปไม่เป็น จะอยู่ตรงนั้นรอให้มันไปกิน คราวนี้พวกชาวบ้านถ้าหากว่าจับงูเหลือมได้ ตัวมีเดือยก็ซวย เพราะอย่างน้อย ๆ แกงกินยังไม่พอ มันยึดเดือยไปด้วย แล้วมันก็จะเอาไปขีดหน้าร้านขายของ ถ้าไม่เข้าไปซื้อของมันก็อย่าหวังเลยว่าจะหลุดไปได้ แต่ว่าบางทีเคยสงสัยว่าทำไมเข้าบางร้านแล้ว เราจำเป็นต้องซื้อของมันจนได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้นึกอยากซื้อ เข้าไปแล้วก็เกิดอยากซื้อขึ้นมาเฉย ๆ มีนะ
อย่างประเภทสถานเบาก็นางกวัก ของญี่ปุ่นเขาแมวกวัก มันจะมีของเขาอยู่ เพราะฉะนั้นไม่ว่าชาติไหนภาษาไหนอะไรก็ตาม เรื่องของไสยศาสตร์มันคู่กับโลก ไสยศาสตร์กับพุทธศาสตร์มันของคู่กัน พุทธะ แปลว่า ตื่น ไสยะ แปลว่า หลับ ดังนั้นพุทธศาสตร์เจริญแค่ไหนไสยศาสตร์ก็จะเจริญแค่นั้น เพียงแต่ว่าของเรานี้ให้มันหากินถูกต้องตามศีลตามธรรมแล้วกัน หากินถูกต้องตามศีลตามธรรมมันไม่มีปัญหา บางคนเขาก็เลยใช้คำว่า ไสยเวทกับพุทธาคม คือเขาจะแบ่งออกเป็นว่า พวกใช้พุทธศาสตร์กับพวกใช้ไสยศาสตร์ แต่จริง ๆ แล้วมันแยกกันไม่ออกหรอก
โดยเฉพาะสายของหลวงพ่อเรานั่นแหละชัดที่สุดเลย ถ้าหากถามว่าของหลวงพ่อนี่เริ่มต้นจากอะไร ต้องบอกว่าเริ่มต้นจากไสยศาสตร์ โดยเฉพาะที่ท่านสอนอาตมานี่คาถาสารพัดสารเพเลย ตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กรุ่น ๆ อยู่โน้น ไปถึงก็ เอ้ย...ไอ้หนูคาถาบทนี้ดีนะลูก ลองไปทำดูนะ อย่างน้อยต้องภาวนาวันละครึ่งชั่วโมง และก็อย่าลืมรักษาศีลให้บริสุทธิ์ด้วย ภาวนาแล้วมันจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ได้อย่างนั้นได้อย่างนี้ เราก็ทำของเราไป พอได้ผลก็วิ่งโร่หน้าบานไปรายงานท่าน ท่านก็ เออ...เอาบทนี้ไปลูกลองทำดูซิจะได้ผลมั้ย ? กว่าจะรู้โดนท่านหลอกให้ก็ภาวนาจนติดแล้ว พอถึงเวลาท่านแนะนำให้เข้ามาเรื่องของสมถวิปัสสนา มันกลายเป็นของง่ายไปหมด และอีกอย่างหนึ่งเรื่องของไสยศาสตร์นี้มันเห็นผลเร็ว เห็นผลง่าย มันก็เลยทำให้มีแรงจูงใจที่อยากจะทำ ในเมื่อมันทำไปทำมามีครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้ดีท่านตีกรอบเอาไว้แล้วอย่างไร เราก็ไม่หลุดออกจากกรอบนั้นแน่ พอถึงวาระถึงเวลาที่เหมาะสมท่านโยนกรรมฐานมาให้ ก็กลายเป็นของง่ายสำหรับเรา เพราะพื้นฐานมันแน่นซะแล้ว
เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าใครบอกว่าสายหลวงพ่อฤๅษีมาไสยศาสตร์ รับไปเลย...ใช่เลย...คุณไม่ต้องว่าผมก็รู้เอง เพียงแต่ว่าของเรามันเอามาปรับใช้เป็น อันไหนเหมาะ อันไหนไม่เหมาะ ควรไม่ควรอย่างไร มีคาถาบางบทตั้งแต่ได้มาไม่เคยใช้เลย เพราะว่ามันไม่จำเป็นสำหรับเรา แต่มันอาจจะจำเป็นสำหรับคนอื่น กระทั่งพวกสีผึ้งหลวงพ่อ
สมัยก่อนหลวงพ่อท่านบอกว่า เวลาข้าไปเจรจาเพื่อให้คนเขาบริจาคสร้างอันโน้นสร้างอันนี้ ข้าก็ใช้สีผึ้งนี่แหละ ถ้าพูดขอเขาเท่าไหร่เขาก็จะให้เท่านั้น แต่เราต้องรู้ขนาดหลวงพ่อนะ รู้ว่าเขามีให้ ให้แล้วเขาไม่เดือดร้อน ถ้าอย่างนั้นน่ะได้ไม่ใช่ว่าส่งเดชไปเรื่อย แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าเรามันไม่เห็นความจำเป็นตรงจุดนั้น ของหลวงพ่อนั้นงานพระท่านสั่งท่านถึงทำ แต่ของเรานี่ถ้ามีเงินเมื่อไหร่เราต้องทำ เพราะฉะนั้นเรื่องอะไรจะมีให้มันเหนื่อย ก็เลยประเภทนั่งเอ้อระเหยลอยชายอยู่ทุกวันนี้ ใครให้ไม่ให้เรื่องของมันไม่เกี่ยวกับข้า ยิ่งให้ข้าก็ยิ่งเหนื่อย มันก็เลยไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปใช้ แต่ว่าสำหรับญาติโยมที่ทำมาหากินอยู่อะไรอยู่เรื่องนี้มันจำเป็น ในเมื่อมันจำเป็นก็เลย เออ...มันน่าจะมีสี สีผึ้งเขามีคาถากำกับมีอะไรด้วย ถ้าหากว่าใช้กับคนที่อายุมากกว่าอาวุโสกว่าให้ใช้สีด้วยนิ้วโป้ง ถ้าเสมอกันให้ใช้นิ้วชี้ ถ้าอ่อนกว่าให้ใช้นิ้วกลาง อะไรอย่างนี้
แล้วอย่างเจ้าตู่มันเล่นประเภทที่ว่าจีบสาวแข่งกันเพื่อนมันก็ใช้ สมัยก่อนมันน่าเตะมั้ยล่ะ ? ตอนนี้แรดมากเลยสึกไปแล้ว มีการมารายงานอีก ผมขอครั้งเดียวครับ บอก...เอ็งขอหลายครั้งก็เจอตีน ขนาดจีบสาวมันยังใช้ มันบอกว่าประเภทเพื่อนเขามั่นใจว่ายังไง ๆ ก็เสร็จเขาแน่ไม่เปลี่ยนใจหรอก ผมก็เลยอยากลองดูว่ามันจะเปลี่ยนมั้ย ? ไม่ควรทำ ของพรรค์นี้มันจะอยู่ในลักษณะที่เรียกว่าอย่างน้อย ๆ ต้องมีมโนธรรม
อย่างเช่นว่า หมอเสน่ห์สมัยก่อนเวลาเขาทำเสน่ห์เล่ห์กลให้คนรักกันอะไรกันนี่ เขาบังคับเลยว่าต้องเลี้ยงดูเขา ทอดทิ้งไม่ได้ ทิ้งขว้างไม่ได้เด็ดขาดเลย แสดงว่าคนเขาก็มีจรรยาบรรณของเขาอยู่ สมัยนี้มันไม่ค่อยมี มันมีวิธีการอะไรบางอย่างมันเหมือนอย่างกับว่าชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ได้เลย
เมื่อพรรษาที่แล้วทางวัดท่าขนุน ท่านเจ้าคุณรองจังหวัดวัดท่ามะขาม ท่านสั่งให้ตั้งสำนักบาลีวัดท่าขนุน ท่านให้ไปขออนุญาตเจ้าคณะจังหวัดเอง อาจารย์สมพงษ์แกก็สั่นนะสิ ไม่รู้จะโดนตีนหรือเปล่า ก็เลยไปกับแกด้วย ถามอาจารย์สมพงษ์ว่าคุณจะเอาแบบไหน ? ประเภทให้แกด่าเช็ดมาเลยมั้ย หรือเอาแค่หอมปากหอมคอ หรือว่าให้อนุญาตแต่โดยดีไม่มีปากไม่มีเสียงเลย ผมทำได้ อาจารย์สมพงษ์บอก ก็แล้วแต่อาจารย์จะเมตตาแล้วกัน เราก็บอก เออ ถ้าหากว่าแล้วแต่ผมจะเมตตา ผมก็เอาประเภทง่ายที่สุดคือไปถึงให้ท่านพยักหน้าอนุญาตโดยไม่ต้องว่าอะไรเลย พอถึงเวลาเราไปรายงานเสร็จ ท่านก็เออ ๆ อนุญาตให้ทำได้เลยไม่ต้องขอก็ได้ ก็บอกอาจารย์สมพงษ์ว่า ถ้าวันไหนคุณมั่นใจในตัวเองว่ามีกำลังใจมั่นคงพอ ไม่เคลื่อนไปตามอำนาจของโลกธรรมใน รัก โลภ โกรธ หลง อะไรต่าง ๆ แล้ว คุณต้องการวิธีการผมจะสอนให้ ไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้าคนเอาไปใช้ผิดมันจะน่ากลัวมาก พูดอย่างไรคนอื่นจะมีแต่ตามเราอย่างเดียว เราต้องการอย่างไรเขาจะตามใจอย่างเดียว จะไม่มีการปฏิเสธ น่ากลัว
เพราะฉะนั้นของเรามันควรจะอยู่ในระดับที่เรียกว่า จะต้องรักษากำลังใจตัวเองให้ได้ในระดับหนึ่งถึงสมควรที่จะศึกษา เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่เหมือนกับดาบ ๒ คม ถ้าใช้ผิดมันจะเป็นโทษ แต่ถ้าใช้ถูกมันก็มีคุณ ศึกษามันไม่เสียหลายหรอก แต่ขณะเดียวกันถ้าไปหลงงมงายอยู่กับมันก็เสียเวลาปฏิบัติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น