วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2559

แก้วจักรพรรดิและวิชาปรอท

แก้วจักรพรรดิและวิชาปรอท 
                                                          
ตำนานแก้วจักรพรรดิ
จากหนังสือ วังมุย แห่งหริภุญชัย
จัดทำโดย สมาชิกฯ อินทราพงษ์
 
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เล่าเรื่องแก้วจักรพรรดิไว้ในหนังสือ “สมบัติพ่อให้” อยู่ในส่วนของ “แก้วมณีรัตนะ” ซึ่งท่านทำขึ้นมาสงเคราะห์ลูกหลาน ตลอดจนศิษยานุศิษย์มากมายทั้งในและต่างประเทศของท่าน ทำให้เราทราบว่า แก้วจักรพรรดิองค์ต้นแบบนั้น ท่านได้รับมอบมาจากหลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่ม
“แก้วนี้ ทำด้วยบารมีพระพุทธเจ้า เวลาทำจริงๆ อาตมาไม่รู้เรื่องเลย ต้องไปศึกษากับท่านมา ๒ คืน คืนแรกที่ขึ้นไป ก็อยากทราบประวัติว่า ลูกแก้วนี้มีประวัติมาจากไหน คือแก้วอาตมา มีอยู่ลูกหนึ่ง ไม่ทราบว่ามาจากไหน ทราบแต่ว่าเป็นของต้นตระกูลสืบต่อกันมาหลายชาติ ก็ขึ้นไปหาโยมท่านที่ดาวดึงส์ ไปถามโยมผู้ชายว่าโยมทราบประวัติของลูกแก้วนี้ไหม ท่านบอกว่า ท่านทราบประวัติแต่ไม่เคยใช้มาก่อน คนที่เคยใช้จริงๆ คือโยมผู้หญิง โยมผู้หญิงท่านบอกว่า ท่านใช้มาแล้วหลายสิบชาติ และก็สมัยครองราชย์ ท่านบอกว่า เรามีแก้วลูกเล็กลูกเดียว ประชากรในประเทศของเรายังไม่มีใครจนเลย ท่านเลี้ยงพอ ก็เลยถามประวัติความเป็นมา ท่านบอกว่า เดิมทีเป็นลูกแก้วลูกยอดของพระเจ้าจักรพรรดิ เลยถามท่านว่า เวลานี้แก้วของพระเจ้าจักรพรรดิอยู่ที่ไหน ท่านบอกว่า อยู่ที่พระจุฬามณี จึงพาไปดู ความจริงสมัยของพระเจ้าจักรพรรดิที่มีแก้วมณี มีพระขรรค์แก้ว มีเกือกแก้ว มีจักรแก้ว แต่ว่าทั้ง ๔ อย่างนี้อยู่คนละที่ มีเทวดารักษาอยู่ ถ้าใครจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เทวดาก็จะนำทั้ง ๔ อย่างมามอบให้ แต่ว่าพระเจ้าจักรพรรดิคนนั้นตาย คนอื่นจะรับมรดกแทนไม่ได้ ...เทวดาต้องเอาของเขากลับคืนไป เทวดาท่านต้องหวงแหน เพราะว่าของ ๔ อย่างนี้ ต้องเป็นของคนที่มีบุญพอจึงจะครองไว้ได้
สร้างวัดท่าซุงในตอนแรก หลวงปู่ชุ่มท่านเอามาให้ เมื่อวันที่ท่านจะกลับท่านขึ้นไปหาบนห้อง ท่านบอกว่า "น้อง ไม่ช้าพี่ก็ตาย อยู่ไม่ได้ แต่ว่าน้องจะต้องอยู่อีกนาน" ประวัติเดิม เคยเกิดเป็นพี่น้องกันมา ท่านก็เลยนำแก้วออกมา บอกว่า "แก้วลูกนี้เป็นของต้นตระกูล สืบต่อกันมาหลายชาติ น้องจงรักษาไว้ เมื่อมีลูกแก้วนี้แล้ว จะทำอะไรก็สำเร็จทุกอย่าง"
ในช่วงนั้นสร้างเงินเป็นหมื่นก็เป็นหนี้เขาแต่ว่าต่อมาเมื่อได้ลูกแก้วนี้ ขึ้นมา สร้างอะไรต่างๆ ทางด้านโบสถ์ สร้างทั้งหมดใช้เวลา ๓ ปี โบสถ์หลังเดียวใช้เวลา ๓ ปี ยังไม่ยากจะเสร็จเลย แต่ว่าสิ่งก่อสร้างทางด้านโบสถ์นะ เมื่อได้ลูกแก้วนี้มาแล้วใช้เวลาสร้างทั้งหมด ๓ ปี และก็ ๓ ปีนะ อาตมาไม่ได้ปั๊มเงินเองนะ ก็ได้เงินจากท่านพุทธบริษัททั้งหมดนี่และช่วยสร้าง
และต่อมาปี ๒๕๒๐ ท่านก็สั่งให้สร้างสถานที่ใหม่ ท่านบอกว่า สถานที่นี้ควรจะเป็นที่เพราะพระอริยะเจ้า ท่านมาสั่งสร้าง แล้วท่านก็ออกแบบของท่านเอง ก็เลยคิดตามท่าน ว่าถ้าเป็นแบบนี้จะต้องใช้เงินเดือนหนึ่ง ๖ แสน กับ ๘ แสน สลับกัน ถ้าเดือนไหนใช้ต่ำไปหน่อยอีกเดือนหนึ่งก็จะใช้เกินไป ถามท่านว่า ถ้าจำเป็นแบบนี้แล้วจะไปเอาเงินที่ไหน ท่านบอกว่า "แกทำไปเถอะ ฉันไม่ให้เป็นหนี้มาก ถ้าเป็นหนี้ก็ใช้ง่าย" พอเริ่มลงมือทำเข้าจริงๆ ก็ต้องใช้เงินเดือนละ ๖ แสน กับ ๘ แสน สลับกันมา พอหลังจากน้ำท่วมปีที่แล้ว (ปี ๒๕๒๓) เข้าเดือนธันวาคม ปรากฏว่าค่าใช้จ่ายกลายเป็นเดือนละล้านเศษ แต่ว่าเงินให้เขาไม่พอ ได้จากญาติโยมเท่าไหร่ พวกเจ้าหนี้ก็มาเอาไปหมด แต่เราได้วัตถุคืนมานะ ก็เป็นอันว่า แก้วนี้ถ้ารับไปเพื่อใช้ ให้ทำเป็นกรรมฐานทุกวัน และทุกวันที่บูชาให้บูชาด้วยคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า และควรอธิฐานว่า ขอความปรารถนาทุกอย่างจงสำเร็จทุกประการ เท่านั้นแหละ

                            


กระโถนข้างธรรมาสน์  พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

(ถามเรื่องแก้วจักรพรรดิ)
      ตอบ:  รูปร่างเป็นอย่างไร ก็เหมือนไข่ไก่ ถามว่าสีอะไร บอกไม่ถูก มันหลายสีรวมกัน เหมือนกับแก้วแล้วก็มีลายเป็นทอง แต่ว่าดูด้วยสายตาเหมือนกับทึบ แต่ถ้าเอามาส่องไฟกลับมองทะลุได้ แปลกมาก
      ถาม:  เกิดอย่างไร ?
      ตอบ:  แก้วจักรพรรดิ เกิดจากการหุงปรอท ในสมัยโบราณเขาเล่นแร่แปรธาตุก็จะมีการหุงปรอท ถ้าของฝรั่งตามวิทยาศาสตร์ก็คือโลหะธาตุอย่างหนึ่ง แต่ว่าเป็นโลหะเหลว แต่ว่าทางจิตศาสตร์หรือไสยศาสตร์ เขาเชื่อว่ามันมีชีวิตอยู่ มันสามารถไปได้ มาได้ กินอาหารได้ แล้วคนที่เขาเล่น พวกเล่นแร่แปรธาตุเกี่ยวกับปรอท เขาจะไปดักจับมันเสร็จแล้วก็เอามา ทำการหุงด้วยสมุนไพร จนมันจับตัวแข็งขึ้นมา ที่เขาเรียกว่าทำปรอทสำเร็จ
              ที่นี้มีอยู่หลายระดับ พอทำไปถึงระดับหนึ่งจะเป็น มหาเสน่ห์ เรียกว่าใครเห็นก็รักอะไรอย่างนั้น ต่อไปก็ ป้องกันภัย รักษาโรค ทำเป็นทอง ทำเป็นแก้ว แล้วตรงทำเป็นแก้วนั้นแหละที่ปรอทมันจะกลายเป็น แก้วจักรพรรดิ หรือ แก้วราหู แล้วแต่ธาตุปรอท ถ้าธาตุปรอทเป็นธาตุตัวเมีย จะเป็นแก้วราหู จะเป็นองค์เล็ก แต่ถ้าหากว่า ปรอทธาตุเป็นตัวผู้ จะเป็นแก้วจักรพรรดิ คือ องค์ใหญ่ เคยไปคลำ ๆ พวกอย่างนี้มาพักใหญ่ เหมือนกัน ปรากฏว่าปีนั้นมีพระข้ามไปเรียนวิธีหุงปรอทที่พม่า ๕ องค์ กลับมาสึกเกลี้ยง ขั้นแรกพอเป็นมหาเสน่ห์แล้วทนไม่ได้ สึกหมด สาว ๆ มาหาเยอะ เป็นการทดสอบตัวเอง ได้ดีมาก
              ตัวอย่างผู้สำเร็จปรอทของพม่าที่ดังที่สุด ก็คือ ฤๅษีบูบูอ่อง ท่านนุ่งขาวห่มขาว ศึกษาวิชาพวกนี้อยู่บนยอดเขาโป๊ปป้า ภูเขา เขานี้อยู่ระหว่างเส้นทางจาก พุกาม จะไป มันฑะเลย์ จะมียอดภูเขาไฟอยู่ยอดหนึ่ง เป็นสถานที่เหมาะสมสำหรับทำพวกพรรค์นี้มาก เคยไปค้างอยู่ลิงเยอะเป็นบ้านเลย
              คราวนี้ว่า พอทำเป็นแก้วได้ ก็จะมีฤทธิ์เหาะได้ โบราณท่านเรียกว่าสำเร็จปรอท พวกที่สำเร็จปรอทนี้พอถึงทำเป็นแก้วแล้ว เรื่องทำทองเป็นเรื่องเล็ก เขาก็จะทำแผ่นทองจารึกชื่อตัวเอง พร้อมกับวันเดือนปีที่สำเร็จปรอท แล้วก็เอาไปถวายบูชาตามเจดีย์ต่าง ๆ โดยเฉพาะ เจดีย์ชะเวดากอง ถ้าอยากดูก็ต้องปีนขึ้นไปดู ที่เมืองไทยมีอยู่ องค์หนึ่ง แต่ว่าท่านอยู่ในป่า สำเร็จปรอทแล้วท่านก็อมเอาไว้ คราวธาตุปรอท คล้าย ๆ กับว่ามันเรืองแสงออกมาได้ เขาก็เลยเห็นออกมาเป็นสีแดง ๆ ก็เลยเรียกท่านว่า หลวงพ่อ แก้มแดง เหลือเชื่อไหมว่าธาตุอย่างหนึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นอีกอย่างได้
      ถาม:  แล้วอย่างอานุภาพเป็นอย่างไรครับ ?
      ตอบ:  แก้วจักรพรรดิจะให้ลาภเป็นส่วนรวม ใครมีแก้วจักรพรรดิอยู่จะเลี้ยงคนสักเท่าไหร่ก็ไม่ต้องหนักใจเลย
      ถาม:  แล้วแก้วราหูครับ ?
      ตอบ:  เหมือนกัน ต่างกันแต่ว่าว่าอันหนึ่งเล็กกว่า อันหนึ่งใหญ่กว่า แก้วจักรพรรดิของหลวงพ่อได้มาจาก หลวงปู่ชุ่ม วัดวังมุย ที่ ลำพูน หลวงพ่อชุ่มท่านมีความคล่องตัวในนิโรธสมาบัติที่สุดเลย บุคคลอื่นเข้านิโรธสมาบัติแค่สามอิริยาบถ คือ ไม่นั่ง ก็นอน ยืนนี่น้อย แต่หลวงพ่อชุ่มท่านทำได้ สี่อิริยาบถเลย ยืน เดิน นั่ง นอน ได้หมด นิโรธสมาบัตินี้ สัญญาเวทยิตนิโรธ มันจะไปตัดสัญญา คือความรู้ทั้งหมด และความรู้สึกทั้งหมด ก็เลยไม่ทราบเหมือนกันว่าท่านใช้ อะไรบังคับร่างกายให้เดินได้ อาจใช้อธิษฐานจิตทับเอาไว้ก่อนก็ได้ แต่ว่าท่านทำได้จริง ๆ
              คราวนี้หลวงปู่ชุ่ม ท่านเคยเป็นพี่หลวงพ่อมาหลายชาติ แล้วก็เป็นพี่ที่ ถ้าถึงเวลาก็อาจโดนน้องประหารบ้าง ก็เลยกลัวหลวงพ่อ ก่อนที่ท่านจะมรณภาพท่านก็มาหาหลวงพ่อ บอกว่าหลวงน้อง ต่อไปหลวงน้องต้องทำงานใหญ่เพื่อทำงานพระศาสนา คนที่มาหาจะมีจำนวนมากมหาศาล ถ้าหากว่าหลวงน้องมีแก้วจักรพรรดินี้เอาไว้ หลวงน้องก็สามารถที่จะเลี้ยงคน โดยที่ไม่ต้องหนักใจ หลวงจากนั้นไม่นานหลวงปู่ท่านก็มรณภาพไป เสร็จแล้วหลวงปู่ท่านบอกว่า ท่านเองก็เคยทำ ตระกรุดปรอท มาแจกลูกศิษย์แต่ท่านบอกว่าอาจารย์ท่านเก่งกว่าทำเป็นแก้วจักรพรรดิได้ แสดงว่าอาจารย์ของหลวงปู่ชุ่มนี้สุดยอด
      ถาม:  หลวงพ่อท่านมีกี่องค์ครับ ?
      ตอบ:  แก้วจักรพรรดิ นี้มีองค์เดียว แล้วมี แก้วราหู อีกองค์หนึ่ง แก้วราหูนี้จริง ๆ แล้ว ตอนนั้นผู้กอง อรรณพ แกเป็นแค่ร้อยตำรวจโทตระเวนชายแดนเอง แต่เป็นที่ถูกใจหลวงปู่ หลวงปู่ก็มอบให้ แล้วเพื่อนก็ยืมไปใช้ ตี๋เล็ก มันยืมไปใช้ แล้วทะลึ่งไปเที่ยวซ่อง หายจ้อยไปเลย ทั้ง ๆ ที่ถัก เอาไว้อย่างดี ไม่มีทางออกไปไหนได้เลย แล้วก็ผูกติดไว้กับสร้อยคอ เล่นเอาคุณอรรณพ เกือบจะบีบคอเพื่อนตาย ปรากฏว่าหลังจากที่หายไปไม่นาน ไปโผล่อยู่กับหลวงพ่อโน้น วิ่งไปหาพวก หลวงพ่อท่านก็เลยเก็บไว้เองทั้งคู่เลยปัจจุบันนี้ก็อยู่กับพระครูปลัดอนันต์เจ้าอาวาสองค์ใหม่

        ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แก้วมณีรัตนะรุ่น 2
      ถาม:  แล้วที่หลวงพ่อท่านทำลูกแก้ว ?
      ตอบ:  หลวงพ่อท่านบอกว่ามีอานุภาพถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ของ ของแท้ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ท่านทำครั้งแรก ๆ มาครั้งหลัง ๆ นี้ไม่ทราบว่าได้เกินหรือเปล่า ? ท่านบอกว่าได้ขึ้นไปดูแก้วจักรพรรดิของ ท่านปู่พระอินทร์ แล้ว เหมือนกันเลย แสดงว่าท่านปู่พระอินทร์เวลาได้แก้วจักรพรรดิมาก็คงลักษณะเดียวกัน เพราะว่าจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิจะต้องมี จักรรัตนะ คือแก้วเจ็ดประการ ก็ประกอบไปด้วย อันดับหนึ่ง จักรแก้ว, อันดับที่สอง ปรินายกรัตนะ คือขุนพลแก้ว, แล้วก็ อัสสะรัตนะ ม้าแก้ว, หัตถิรัตนะ ช้างแก้ว, อิตถีรัตนะ นางแก้ว, เสร็จแล้วก็มี มณีรัตนะ คือ แก้วมณี มีไว้เพื่อเลี้ยงคน เพราะท่านต้องปราบไปในทวีปทั้งสี่ ในเมื่อเขาอยู่ใต้อำนาจแล้ว เกิดตกระกำลำบากอะไรขึ้นมา ไม่ช่วยเขาก็ไม่ได้ ในเมื่อจำเป็นต้องช่วยเขาก็ต้องมีพวกนี้เอาไว้ ไม่อย่างนั้นก็ช่วยเขาไม่ไหว ใครจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิต้องมีให้ครบ มีไม่ครบเป็นไม่ได้ มีอยู่ใน จักกวัตติสูตร ใน อังคุตตรนิกาย ไปเปิดพระไตรปิฎกดูได้ อ่านมานานแล้ว จำไม่ค่อยได้ ต้องไปทบทวนใหม่
              เมื่อกี้ที่ว่ายังขาด คหปติรัตนะ คือ ขุนคลังแก้วนะ มีหน้าที่หาสตางค์ใส่คลัง แต่มีทิพจักขุญาณแจ่มใสมากไปที่ไหน เจอสมบัติก็ขุดมาใส่คลังไว้ ใครมีลูกน้องอย่างนี้รวย
              รัชกาลที่สาม ท่านบอกว่า ท่านมีขุนพลแก้ว คือ เจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนีย์)มีขุนคลังแก้วคือ เจ้าพระยาศรีสหเทพ (ทองเพ็ง) แล้วก็มีนางแก้ว นางแก้วนี้ไม่ใช่มเหสี แต่เป็นลูกสาว โอ้โห....เก่งจริง ๆ จำไม่ได้แล้วว่าเป็นพระองค์ไหน ของท่านเองท่านว่าถึงไม่ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แต่ก็มีแก้วตั้งสามอย่างแล้ว ท่านก็พอใจแล้ว สมัยรัชกาลที่สามเงินคงคลังล้นท้องพระคลัง ท่านบอกว่าเตรียมไว้ให้น้องคือ รัชกาลที่สี่ เพื่อว่าต่อไปข้างพวกยุโรป คือ พวกฝรั่ง อังกฤษ จะมาเบียดเบียน ถึงเวลาจะได้มีเงินมีทอง สำรองเอาไว้ เพื่อจะได้แก้ไขเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ รัชกาลที่สี่ท่านก็เลยใช้เพลิน สบาย ตกลงรัชกาลที่สามเหนื่อยที่สุด เพราะว่า รัชกาลที่สอง พอว่าท่านรับงานได้ ก็ทิ้งงานให้เลย เรียกว่าท่านทำงานแทนรัชกาลที่สอง มาตลอด แล้วก็ทำงานในรัชกาลของตัวเอง แล้วก็เผื่อแผ่ไปยังรัชกาลที่สี่ด้วย ตกลงเท่ากับว่าคนเดียวล่อเสียสามรัชกาล ปัจจุบันนี้ยังเป็น พระสยามเทวาธิราช อยู่ ไหน ๆ ก็เหนื่อยแล้ว ก็เหนื่อยให้ตายไปเลย
ถาม:  พระปรอทที่ท่านทำ แบบเดียวกับของตลาดพระหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ปรอทที่อยู่ในท้องตลาดนี่ ใช้วิธีปั่นขึ้นมา ใช้ไม่ได้ อันตรายมากเลย ปั่นลักษณะผสมแบบเดียวกับผสมสารอุดฟันน่ะ พวกอมัลกัม ฉะนั้น...ปรอทไม่ได้ตายจริง ๆ ปรอทนี่ทางวิทยาศาสตร์ เขาถือว่าเป็นโลหะชนิดหนึ่ง แต่ทางด้านของพวกไสยศาสตร์นี่ เขาถือว่าเป็นวัตถุมีชีวิต สามารถมาได้ หนีได้ กินอาหารได้ คราวนี้มีตำราจับปรอท จับปรอทมานี่เพื่อเอามาทำเป็นเครื่องรางของขลัง พอจับปรอทได้แล้ว เขามีวิธีฆ่ามันให้ตายเพื่อมันจะได้ไม่หนี แล้วเสร็จแล้วก็จะนั่งปลุกเสกนั่งหลอมกันไป มันก็จะมีขั้นตอนของมันไปว่าจะเป็นมหาเสน่ห์ ป้องกันภัย รักษาโรค ทำเป็นทอง ทำเป็นแก้ว
              ปีที่ผมไปเรียนเกี่ยวกับปรอทน่ะ มันมีพระไทยข้ามไปเรียนที่พม่า ๕ องค์ พอถึงขั้นแรก สาวเอาไปเจี๊ยะหมด ขั้นแรกคือ มหาเสน่ห์ เสร็จหมดเลย ๕ องค์ไม่เหลือเลย ถ้าหากปรอททำไปถึงขนาดเป็นทองนี่ คนส่วนใหญ่จะพอแค่นั้นคือมันรวยแล้ว ทางด้านพม่านี่ประเภททำไปขายกันเยอะแล้ว แต่ว่าจริง ๆ มันต้องทำถึงอันสุดท้าย ทำให้เป็นแก้ว ปรอทนี่ถ้าทำเป็นแก้วนี่ จะเป็นแก้วจักรพรรดิ หรือแก้วราหู ถ้าเป็นปรอทตัวผู้จะเป็นแก้วจักรพรรดิ ถ้าเป็นปรอทตัวเมียจะเป็นแก้วราหู ซึ่งจะดีมากที่สุดในทางให้ลาภ ปัจจุบันนี้หลวงพ่อวัดเขาตะมายะ ใคร ๆ ก็ว่าท่านทำปรอทได้ เพราะว่าคนไปอยู่ไปกินกับท่านวันละเป็นหมื่น ๆ ท่านเลี้ยงเขาได้ตลอด ต้องประเภทแก้วจักรพรรดิ เท่านั้นแหละ ถึงจะเลี้ยงคนมหาศาลขนาดนั้นได้ ของพวกเราไม่ต้องไปทำปรอทให้เสียเวลาหรอก ลูกแก้วหลวงพ่อวัดท่าซุงนั่งแหละ ใครมีไปตื้อขอเขามาสักลูกหนึ่ง อธิษฐานเป็นอะไรเป็นใช้ได้หมด
      ถาม :  แล้วที่หลวงพ่อโตทำล่ะครับ ?
      ตอบ :  อันนั้นไม่ทราบ เพราะว่าถ้าเอาก็เอารุ่นเก่าที่หลวงพ่อท่านทำ อย่างนั้นเรามั่นใจใช่ไหม ครูบาอาจารย์ของเรา
      ถาม :  หลวงพ่อโตท่านก็ทำ ?
      ตอบ :  หลวงพ่อโตจริง ๆ ท่านมีชื่อเสียงในวงการพระเครื่องอยู่นะ พระของท่านหลายรุ่นติดอันดับนิยม นี่พูดถึงหลวงพ่อโต วัดเขาบ่อทอง
      ถาม :  ...........................
      ตอบ :  อันนั้นไม่ทราบจ้ะ แต่ว่ามีโยมเอาไปที่เชียงใหม่ แล้วร้านค้าเขาดูแล้วเขาตีราคาให้เลย จากซื้อวงละ ๕๐๐ บาท เขาให้ตั้ง ๓๐,๐๐๐ บาท ก็แสดงว่ามันน่าจะ จริง ๆ ถ้าหากว่าเป็นรุ่นแรกที่เป็นเพชรเขาพระงามอันนั้นน่ะ เป็นเพชรประมาณ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ อาตมาเคยเอาที่ยังไม่ได้เจียกรีดกระจก กระจกขาด แต่น่าเสียดายว่าตอนรุ่นหลัง พอส่งไปที่ร้านค้าอมไปเกลี้ยงเลบ แล้วมันเอาเพชรรัสเซียติดมาให้แทน
              ฉะนั้น...ใครได้รุ่นแรก ๆ ก็สบาย รุ่นนั้นมีระยะหนึ่งที่พวกพรนุช เขาเอาที่เจียระไนเสร็จใหม่ ๆ มาจำหน่ายกันอยู่ อันนั้นน่ะใช่ นั่นของเขาพระงาม อันนั้นเรียกว่าเพชรได้เลย ๘๐ เปอร์เซ็นต์ของเพชรแท้แล้ว เราลองกรีดกระจกดูมันกรีดได้
      ถาม :  เอากระดาษทรายถูค่ะ ถ้าไม่เป็นรอยก็คือเพชร ถ้าเป็นรอยจะไม่ใช่เพชร
      ตอบ :  ดูไม่เป็น เรื่องของอัญมณีนี่ยอมแพ้ ต่อให้เอาของปลอมมาถ้าเราเห็นว่าสวยกว่า เราก็เลือกของปลอม (หัวเราะ) ดูยากเพราะว่าสายตาต้องละเอียดจริง ๆ จะต้องดูเนื้อของมัน เพชรแท้พลอยแท้นี่จะมีรอยแตกมีเศษของอยู่ข้างใน มีฟองอากาศอยู่ข้างใน เพราะว่ามันเกิดจากธรรมชาติ
              คราวนี้ของที่อัดขึ้นมานี่เนื้อมันเรียบเปรี๊ยะเลย แล้วสะท้อนแสงได้ดีกว่า อยากรู้ต้องถามคุณสุนิสา สัตตะสุริยะเดช โน่นน่ะดูเป็น โน่นเขาขายอยู่
      ถาม :  ..........................
      ตอบ :  เรื่องปรอทเคยทำมา ๔๐ กว่าอัน เอามาไล่แจกโยมแล้วก็เลิกหายคันแล้ว รู้ว่าทำได้ก็พอแล้ว ปรอทต้องได้จับเนื้อถึงจะรู้ว่าใช้ได้ไหม ถ้าไม่ได้จับไม่รู้หรอก แต่ถ้าจับแล้วยังลื่น ๆ อยู่ใช้ไม่ได้หรอก มันยังไม่ตาย ถ้าหากปรอทที่ตายแล้วมันจะฝืด ที่ทำอยู่แล้วเขาทำกันไม่สำเร็จน่ะ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเขาไม่มีสมาธิ คนจะแปลกใจมากเลย เราไปแป๊บเดียวหอบมาเป็นกุรุสแล้ว เขาขาดตรงสมาธิจริง ๆ แล้วโบราณาจารย์ท่านเก่ง ทางพม่าเขาแยกสายวิชาการของการปฏิบัติออกเป็นหลายอย่างด้วยกัน จะมีพวกสำเร็จประคำ สำเร็จยันต์ สำเร็จปรอท คือว่าตั้งหน้าตั้งตาชักประคำภาวนาไปเรื่อย คุณหมดกิเลสเมื่อไรก็จบ เรื่องของยันต์ก็เหมือนกัน เวลาเขียนต้องใช้สมาธิต้องทุ่มเท เท่ากับว่าทรงอารมณ์อยู่ตลอดเวลา เรื่องของปรอทก็เหมือนกัน ประเภทที่เรียกว่า หุงต้มไป หลอมไป ภาวนาไปอะไรอย่างนี้
              คราวนี้คนพื้นฐานสมาธิไม่มีแต่อยากรวย เพราะรู้ว่าทำปรอทแล้วเป็นทองได้อย่างที่ทำอยู่ในตู้นั้นแหละ ก็ตั้งหน้าตั้่งตาทำเพื่อไปขาย นั่นแหละมีแต่โลภขึ้นหน้าอยู่ ฟุ้งซ่านอยู่แล้วจิตจะเป็นสมาธิได้อย่างไร คนเขาก็แปลกใจ บางคนเรียนยี่สิบสามสิบปี เรียกว่า หลอมเสียจนหมดฟืนเป็นป่า ทำไมหลอมไม่สำเร็จ ของเราไปแป๊บเดียวหอบมาเป็นกุรุสเลย คือถ้ามีพื้นฐานเป็นสมาธิทุกอย่างทำง่ายหมด

ลูกแก้วนี่เป็นลูกแก้วจักรพรรดิ ?
      ตอบ:   แก้วจักรพรรดิ เพราะไปดูแล้วลักษณะเนื้อเหมือนกับของหลวงพ่อ แต่เสียดายว่าไอ้คนเสียสติดันไปทุบซะ คือลูกแก้วนั้น ตามประวัติบอกว่า ตอนนั้นท่านยังเด็ก ๆ อยู่ วันนั้นพ่อแม่ท่านออกไปทำนา ก็อุ้มท่านไปด้วย แล้วเอาท่านนอนไว้ในกระด้ง พอถึงเวลาพักกลางวันจะกลับมากินข้าว พอกลับมาถึงเจองูจงอางตัวเบ้อเร่อเลย มันขดล้อมกระด้งอยู่ พ่อแม่ก็ตกใจว่าจะทำอย่างไรดี ?
              คราวนี้โยมพ่อได้สติ ก็จุดธูปเทียน บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขาว่า “ถ้าสำแดงตัวมาเพื่อสงเคราะห์ลูกช้างอย่างไร ก็ขออย่าได้ทำอันตรายเด็กเลย” งูก็เลื้อยไป พองูไปแล้วก็เข้าไปดู ก็เห็นในมือเด็กมีแก้วอยู่ ก็เชื่อว่าเป็นของคู่บารมีของลูกของตัว แล้วตอนหลังมีเศรษฐีที่เป็นนาย เพราะว่าพ่อแม่เป็นทาสช่วยทำงานให้เขา เศรษฐีที่เป็นนายก็ต้องการจะเอา พยายามบีบบังคับทุกวิถีทางก็เอาไปไม่ได้ ท้ายสุดก็ต้องมาคืน
              คราวนี้ระยะหลัง ๆ ที่เขาเก็บต่อ ๆ กันมาจนถึงยุคหลังนี่ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่คนสติไม่ค่อยดีเอาไป มันเชื่อว่าลูกแก้วจักรพรรดิจะทำให้มันเหาะได้ คราวนี้เหาะไม่ได้ก็โมโห ก็ทุบแตกซะ พอทุบแตกกลายเป็น ๓ ชิ้น ๔ ชิ้น ก็มีคนโน้นเก็บไป คนนี้เก็บไป ทางวัดก็ได้ชิ้นใหญ่ไป มาตอนหลังคนที่ได้ชิ้นเล็ก ๆ ไปก็ต้องเอามาคืน เพราะว่าฝันเห็นแต่งูมาทวงอยู่ทุกคืน (หัวเราะ) ที่มั่นใจว่าเป็นแก้วจักรพรรดิ เพราะว่าลักษณะเดียวกับที่หลวงพ่อท่านมีอยู่ ของหลวงพ่อที่มีอยู่ก็ไม่ใช่ของหลวงพ่อโดยตรง เป็นหลวงปู่ชุ่มถวายมา หลวงปู่ชุ่มที่วัดวังมุย (วัดชัยมงคล) ที่ลำพูน องค์นี้หลวงพ่อบอกว่าสุดยอดมนุษย์จริง ๆ เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็น ถามว่าทำไมครับ ? หลวงปู่ชุ่ม ท่านเข้านิโรธสมาบัติได้ ๔ อิริยาบถ
              นิโรธสมาบัตินี่ จริง ๆ มันดับความรู้สึกหมดเกลี้ยงเลย ส่วนใหญ่เขาต้องนั่ง ถ้าไม่นั่งก็นอน ไม่นอนก็ยืน อิริยาบถใด อิริยาบถหนึ่ง แต่หลวงปู่ชุ่มเข้านิโรธสมาบัติได้ ๔ อิริยาบถ ไม่ทราบว่าท่านเดินได้อย่างไร ก็ในเมื่อจิตกับกายมันไม่ได้สัมพันธ์กันเลย แสดงว่าต้องใช้กำลังของอภิญญาอธิษฐานทับเอาไว้ก่อน
              เนื่องจากว่านิโรธสมาบัตินี่มีอยู่ ๒ ลักษณะ ลักษณะหนึ่งก็คือว่าส่งจิตไปตามภพภูมิต่าง ๆ พอครบเวลาแล้วค่อยกลับ อีกลักษณะหนึ่งก็คือใช้จิตจดจ่อพระนิพพานเท่านั้น แต่ว่าทั้งสองลกัษณะนี้จิตกับกายจะไม่เกาะกันเลย จิตจะไม่เกาะกายแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นถ้าไม่ใช้กำลังอภิญญาอธิษฐานไว้ก่อน คงบังคับให้ร่างกายเดินไม่ได้แน่ แล้วลูกแก้วจักรพรรดินี่ทำมาจากปรอท
              สมัยที่ข้ามไปพม่าแล้วมาอยู่กับท่านโมเช่ ระยะหนึ่ง ที่รอยต่อระหว่างด่านช้างกับเมืองกาญจน์อุทัยธานีนี่ ท่านโมเช่เขาทำปรอทเป็น เขาก็สอนให้ ปรอทนี่จะมีตั้งแต่ขั้นแรกคือ จับปรอท มีวิธี ปรอทนี่ในทางวิทยาศาสตร์ เขาถือเป็นโลหะ แต่ทางไสยศาสตร์ถือว่ามันมีชีวิตมันมาได้ มันหนีได้ มันกินได้ ต้องเอาอาหารไปล่อมันให้มันมา แล้วก็ต้องฆ่ามันให้ตาย ถ้าฆ่ามันไม่ตายมันก็หนี พอมันตายที่เขาเรียกว่า“เป็นตัว” คือมันจะแข็งขึ้นมา พอมันแข็งขึ้นมาแล้วก็จะมีการปลุกเสกของมันไปเรื่อย มันจะเป็นมหาเสน่ห์ ป้องกันภัย รักษาโรค ทำเป็นทอง ทำเป็นแก้ว ขั้นตอนจะเป็นอย่างนี้
              คราวนี้ปีนั้นมีพระจากฝั่งไทยข้ามไปเรียนเรื่องปรอท ๕ รูป พอทำถึงขั้นแรก สึกเกลี้ยงทั้ง ๕ รูปเลย คือขั้นแรกจะเป็นมหาเสน่ห์ เสร็จหมด ! ขนาดไปแอบทำกลางป่ากลางดง ผู้หญิงมาจากไหนก็ไม่รู้ เอาไปกินหมด มันจะเป็นมหาเสน่ห์ ป้องกันภัย รักษาโรค ทำเป็นทอง ทำเป็นแก้ว ปรอทที่เป็นทองที่นี่มี ที่ใส่ไว้ให้ดูเป็นตัวอย่าง
              คราวนี้ที่ทำเป็นแก้วนี่ ถ้าเป็นปรอทตัวผู้นี่จะเป็นแก้วจักรพรรดิ ถ้าเป็นปรอทตัวเมียจะเป็นแก้วราหู หลวงปู่ชุ่มท่านบอกว่า ท่านก็ทำไม่ได้ แต่หลวงปู่ชุ่มท่านสำเร็จปรอท เพราะว่าท่านเคยทำตะกรุดปรอทแจกพวกเราอยู่ สมัยนั้นเคยได้มา แต่ท่านบอกว่าท่านก็ทำเป็นแก้วไม่ได้ แต่ที่ท่านได้มานี่อาจารย์ทำให้ ก็ไม่ทราบว่าอาจารย์ท่านคือ หลวงปู่ครูบาศรีวิชัย หรือว่าเป็นอาจารย์ที่ท่านธุดงค์ไปศึกษาตอนข้ามไปพม่าก็ไม่รู้ ? ไม่ได้ถามรายละเอียดท่าน
              ตอนนั้นหลวงปู่ชุ่มท่านจะดังเรื่องตะกรุดปรอท และตะกรุดหนังลูกวัวตายในท้อง ๒ อย่าง ถ้ามีลูกวัวตายในท้อง ชาวบ้านจะรีบแล่หนังไปให้หลวงปู่ทำตะกรุด คราวนี้พอหลวงพ่อพาพวกเราไปกราบหลวงปู่ หลวงพ่อต่าง ๆ ที่เป็นพระสุปฏิปันโนสายเหนือ หลวงปู่ชุ่ม พอพบหน้า หลวงพ่อก็หัวเราะ พวกเราก็ถามว่า เรื่องอะไร ? หลวงพ่อท่านบอกว่า หลวงปู่ชุ่มเกิดเป็นพี่มาหลายชาติ แต่ว่าเป็นพี่ที่ทุกชาติก็ตายเพราะหลวงพ่อสั่งประหาร (หัวเราะ) เป็นพี่ที่รักน้องมาก ขนาดตายเพื่อรักษาวินัยทัพก็ยอม หลวงปู่ชุ่มท่านมาหาหลวงพ่อ ตอนนั้นท่านใกล้มรณภาพ หลวงปู่ชุ่มมรณภาพตอนปี ๒๕๒๓ ก่อนมรณภาพได้ไม่นาน ท่านมาหาหลวงพ่อ เอาแก้วจักรพรรดิให้ บอกว่าหลวงน้อง บริวารของหลวงน้องเยอะมาก การต่อไปข้างหน้าจะยิ่งเยอะมากกว่านี้ ถ้าหลวงน้องมีแก้วจักรพรรดิอยู่ บริวารมากเท่าไหร่ก็จะเลี้ยงดูเขาได้ แล้วก็ถวายหลวงพ่อไว้
              แล้วอีกองค์หนึ่งหลวงปู่ชุ่มถวายในหลวงไป เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวนะ ถึงเวลานึกถึง เราไม่ต้องมีหรอก แต่นึกถึงแก้วจักรพรรดิไว้ ถึงเวลาขออานุภาพแก้วจักรพรรดิช่วยสงเคราะห์ด้วย จะได้มีความคล่องตัวกว่าคนอื่นเขา ส่วนลูกเล็กที่เป็นแก้วราหู แก้วราหูก็จะมีช่องเล็ก ๆ อยู่ให้สำหรับสอดเชือกได้ แก้วราหูนี่เกิดจากปรอทตัวเมีย
              ตอนนั้นคุณอรรณพ กอวัฒนา ยังเป็นร้อยตำรวจโท ตชด.อยู่ ก็รับอาสาหลวงพ่อไปเป็นยามรักษาการณ์ ตอนหลวงปู่ชุ่มเข้านิโรธสมาบัติ หลวงปู่ชุ่มท่านก็เห็นคุณความดีของเขา ก็เลยมอบแก้วราหูไปให้ มาตอนหลังเพื่อนซี้กัน ก็คือตี๋เล็ก (สันต์ สมิทติเวช) ก็ยืมไป แล้วมันก็ไปเที่ยวซ่อง ไปเชียงใหม่ กิตติศัพท์สาวเชียงใหม่สวย เจ้าตี๋เล็กก็ไปรื่นเริง บันเทิงใจอยู่ในซ่อง ผู้กองอรรณพบอกว่า เขาร้อนใจบอกไม่ถูก โทรไปถาม ตี๋เล็กบอกว่า กูจะกลับแล้ว เที่ยวบินเที่ยวนั้นเที่ยวนี้ คุณอรรณพเขารอไม่ได้ ถึงขนาดไปดักรอที่ดอนเมือง


                                      
              คราวนี้แก้วราหูนี่ แกให้คนอื่นช่วยถักเชือกหุ้มเอาไว้ แล้วพอถึงเวลาก็แขวนติดตัวเอาไว้ ตี๋เล็กมันยืม มันก็เอาไปทั้งชือกทั้งหุ้มนั่นแหละ พอกลับมา ปรากฏว่าอรรณพก็ไปทวง คือใจของแกประเภทรับสัมผัสได้ บอกมันรู้สึกอย่างไรก็ไม่รู้ รู้สึกอยู่อย่างเดียวว่าจะเสียของไป มันต้องรีบทวงกลับ พอมาถึงเอยปากทวง เจ้าตี๋เล็กมันก็ยิ้ม โธ่เอ๊ย! ของแค่นี้ต้องหวงกันด้วย ก็อยู่ที่คอนี่ ก็ถอดให้ ปรากฏว่าพอถอดนี่ เจ้าสันต์หน้ามันเหลือ ๒ นิ้วเท่านั้นแหละ เพราะว่ามันเหลือแต่เชือกเส้นนั้น กับถุงเปล่า ๆ ทั้ง ๆ ที่ถุงมันถักปิดตายไปเลยนะ แก้วหายไปแล้ว เล่นเอาผู้กองอรรณพเกือบจะหักคอตาสันต์
              ตอนนั้น ๒ คน หนึ่งตี๋ใหญ่ คนหนึ่งตี๋เล็ก ตาสันต์เขาเรียก ตี๋เล็ก เขาก็เรียกผู้กองอรรณพ ซี้เขาว่า ตี๋ใหญ่มาตอนหลังก็ไปรายงานหลวงพ่อ หลวงพ่อก็บอก เออ! ก็มันอยากไปที่ไม่ดีนี่หว่า เขาไม่อยากอยู่กับเอ็งหรอก แล้วถามหลวงพ่อว่า ตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ หลวงพ่อบอก หนีมาอยู่ที่ข้านี่ (หัวเราะ) แล้วหลวงพ่อก็หยิบให้ดู
              ในเมื่อมาแล้วก็อุ๊บอิ๊บ ไม่คืน ปัจจุบันนี้ทั้ง ๒ องค์ ก็คงอยู่กับหลวงพี่อนันต์ เพราะว่าตอนที่หลวงพ่อมรณภาพ ย่ามหลวงพ่อ ปกติแล้วจะมีแก้วจักรพรรดิ มีมีดหมออยู่ด้ามหนึ่ง แล้วก็มีเครื่องมือของท่าน มียานัตถุ์ มีหมาก แค่นั้นเอง อย่างอื่นไม่มีหรอก ของเรามันมือซน หลวงพ่อส่งย่ามให้เมื่อไหร่ ก็ล้วงดูมีอะไรบ้าง วันนั้นล้วงเข้าไปเกือบตาย ไปโดนมีดหมอเข้าพอดี โอ้โห! มันดูดอย่างกับโดนไฟฟ้าเป็นหมื่น ๆ โวลต์ ดูดตัวลอยเลย คือกำลังใจเปิดรับพอดี คือของเราตอนนั้นใจสบาย ๆ คิดอยู่อย่างเดียว ล้วงดูพ่อมีอะไรบ้าง ? ไม่ได้ตั้งท่าตั้งทางอะไร ตรงล็อกพอดี โดนดูดเกือบตาย หลวงพ่อหันมาหัวเราะ บอกสมน้ำหน้ามึง (หัวเราะ)
              พอหลวงพ่อท่านมรณภาพ พระทั้งหมดก็คิดอย่างเดียวกัน ในเมื่อหลวงพี่อนันต์ท่านเป็นรองเจ้าอาวาสอยู่ จัดแจงผูกหูย่ามส่งรับไปเลย ปัจจุบันก็น่าจะอยู่กับหลวงพี่อนันต์ท่าน ถ้าไม่มีนี่ เลี้ยงวัดท่าซุงไม่ได้แน่ จำเป็นต้องมีจ้ะ หลวงพ่อท่านบอกว่า ท่านขึ้นไปดูแก้วจักรพรรดิของท่านพระอินทร์ที่ดาวดึงส์แล้ว ลักษณะเหมือนกันทุกอย่าง เพียงแต่ว่า แก้วจักรพรรดิของท่านปู่พระอินทร์อยู่ในความเป็นทิพย์ รัศมีก็เลยสว่างไสวอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าเป็นที่หลวงพ่อ หรือที่ในหลวงท่านมีต้องใช้ทิพยจักษุญาณดู ถึงจะรู้ว่าสว่างแค่ไหน สรุปว่า แก้วจักรพรรดิจริง ๆ ทำมาจากปรอท
              ตอนนี้ทางพม่าก็ยังมีอาจารย์หลายองค์ ที่ท่านสำเร็จปรอทลักษณะนี้ พอทำเป็นแก้วแล้ว อมแล้วจะเหาะไปไหนก็ได้ ไอ้รายโน้นของเขาก็คงคิดอยู่ในลักษณะว่า ในเมื่อเป็นแก้วแล้ว ต้องเหาะได้ พอเอาของหลวงปู่ทวดไป มันเหาะไม่ได้ มันใช้ไม่ถูกต้อง มันก็เลยทุบซะ รู้สึกว่าจะเป็นอะไรตายไม่รู้ ตายระยะเวลาไม่นานหลังจากทุบทำลาย
      ถาม:  แล้วเวลาจะใช้ ใช้อย่างไรคะ ?
      ตอบ:   อธิษฐานเอา ถ้าอย่างของเรานี่มีลูกแก้วของหลวงพ่อ ก็ใช้ควบคาถาเงินล้านอธิษฐานเอา โดยเฉพาะเรื่องลาภผล จะคล่องตัวมากเป็นพิเศษ
      ถาม:  แสดงว่าครูบาชุ่ม ท่านมีบารมีทางลาภ ?
      ตอบ:   มีไม่มี ท่านสร้างทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ หลวงปู่ครูบาชุ่มพาโยมสร้างทางขึ้นพระธาตุจอมกิตติ ถ้าไม่ได้ขนาดนั้นก็คงไม่ไหวหรอก
      ถาม:  (ไม่ชัด)
      ตอบ:   จะกลมหรือไม่กลม อะไรก็ตามจ๊ะ ถ้าเป็นรุ่นที่หลวงพ่อทำนี่ อานุภาพก็เกือบ ๆ จะเท่าของจริงจ้ะ
              ที่เขียนว่าปรอทเงิน ปรอททอง นั่นแหละจ้ะ ฝรั่งมันทำไม่ได้ มันทำได้ก็เอาไปปั่นรวมกับโลหะอื่น ๆ ลักษณะเหมือนกับปั่นเพื่ออุดฟัน อย่างนั้นเขาเรียกว่าปรอทเป็น มันจะมีพิษ โดยเฉพาะเข้าปาก มันขยายตัวหลายเท่านี่ ตับ ไต ไส้ พุง แย่เลย ก็ต้องฆ่ามันให้ตายก่อน
      ถาม:  สรุปว่าในหมู่พระสุปฏิปันโน ที่หลวงพ่อเคยพาลูกศิษย์ไปกราบนี่ ครูบาชุ่มมีวาสนาทางลาภที่สุดหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ:   ไม่ทราบเหมือนกันจ้ะ เพราะว่าไม่ได้เอ่ยถามหลวงพ่อท่าน แต่ว่าเท่าที่ได้ยินมา ก็คือว่าหลวงปู่ชุ่มนี่ หลวงพ่อท่านบอกว่าอัศจรรย์ตรงที่ว่าเข้านิโรธสมาบัติได้ ๔ อิริยาบถ ซึ่งท่านไม่เคยได้ยินว่ามีใครเคยทำได้มาก่อนเลย
              แล้วก็หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค ที่ตาคลี นครสวรรค์ ท่านบอว่า ถ้าในจำนวนพระปฏิสัมภิทาญาณด้วยกัน ก็องค์นี้แคสเซียส เคลย์ ของรุ่นเฮฟวี่เวท (หัวเราะ) สุดยอดเลย เพราะว่าท่านมรณภาพตอนอายุ ๑๒๘ ปี
      ถาม:  หลวงปู่สี ?
      ตอบ:   จ้ะ ป่านนี้สังขารท่านก็ยังอยู่ อย่างกับทองแดงเลย แล้วอีกองค์หนึ่งก็คือ หลวงปู่ครูบาธรรมชัย หลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้าในโลกยุคปัจจุบัน คือ ตอนช่วงของหลวงปู่แต่ละองค์ท่านยังอยู่ ท่านบอกว่า หลวงปู่ครูบาธรรมชัย ทิพยจักขุญาณยอดเยี่ยมที่สุด เพราะหลวงปู่ธรรมชัยท่านมา เพื่อรักษาโรค ถ้าหากว่าทิพยจักษุญาณไม่ดี บอกสมุฏฐานโรคไม่ถูก
      ถาม:  (ไม่ชัด) ครบ ๑๐๐ ปี หลวงปู่ปาน มีการแจกผ้ากาสายะ ผ้าสังฆาฏิ ครูบาชุ่มจะมีอยู่ ๒ ลักษณะ ลักษณะหนึ่งเป็นผ้าที่ใช้เข้านิโรธสมาบัติ อีกอันเป็นผ้าที่ใช้ทั่วไป มีความต่างกันอย่างไรครับ ?
      ตอบ:   เรื่องของอานุภาพไม่ต้องพูดถึง ท่านแจกให้เป็นอนุสติ นึกถึงท่านก็โอเคแล้ว
      ถาม:  เวลาตื่นนอนมาครับ ยังไม่ต้องลุก ให้ทำสมาธิได้เลย ผมก็ลองดู ทำอย่างนั้นมาหลายครั้ง พอตื่นปุ๊บ นึกได้ ก็ พุท โธ ต่อ แล้วก็หลับไปเลย อย่างนี้ผมทำอะไรผิดหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ:   ไม่ผิด กำลังใจที่จะหลับได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นปฐมฌานขั้นหยาบ ถ้าไม่เป็นปฐมฌานขั้นหยาบมันจะไม่หลับ อย่างน้อยนะ แต่คราวนี้ของเราจริง ๆ เราต้องการที่ว่าให้ภาวนาแล้วรู้ตัว จนกระทั่งลุกไปล้างหน้าล้างตา อาบน้ำอาบท่า ทำงานต่อไปเลย ถ้าอย่างนั้น ต้องผ่านการฝึกกันเป็นขนานใหญ่ เราต้องฝึกจนกระทั่งตื่นกับหลับ อารมณ์ใจเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้น ถึงเวลาหลับอยู่ใจก็ยังภาวนา ตื่นมาก็ภาวนา ของมันต่อ ขนาดตัวเองหลับอยู่มันยังรู้ว่าตัวเองหลับ พอจะตื่นมันต้องกำหนดใจ ถามตัวเองก่อนว่า พร้อมจะตื่นหรือยัง ถ้าพร้อมแล้ว ลืมตาลุกขึ้นนั่ง ยืน เดิน



ปรอทเป็นโลหะธาตุที่มีความประหลาดเนื่องจากมีลักษณะเป็นของเหลว สามารถอยู่ได้ในหลายๆลักษณะ คือ อยู่ในรูปของไอหมอก อยู่ในรูปของของเหลว และอยู่ในรูปของ "ของแข็ง" ปรอทยังแบ่งออกในอีกหลายลักษณะ เช่นปรอทหมอก ปรอทน้ำครำ ปรอทป่าช้า ปรอททะเล ปรอทจากถ้ำลอดปรอทขาว และปรอทจากชั้นใต้ดิน

ปรอทจากชั้นใต้ดิน เป็นปรอทที่พบจากการขุดแร่และสูบน้ำมัน เราสามารถพบปรอทจากการขุดแร่ทองแดง รวมทั้งการสูบน้ำมันปรอทจะอยู่รวมกันเป็นชั้นก่อนที่จะถึงน้ำมันดิบ น้ำมันเกิดจากการหมักหมมของซากพืชซากสัตว์ จึงสัณนิฐานได้ว่าปรอทคงลงมากินซากพืชซากสัตว์ในชั้นนี้จนกลายเป็นชั้นปรอทไป และปรอทกลุ่มนี้เองที่ถูกนำมาใช้ทางวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม หากจะกล่าวถึงคุณสมบัติทางไสยศาสตร์แล้วมันก็มีเหมือนปรอททั่วๆไป เพียงแต่ว่าพิษของปรอทพวกนี้จะมากหน่อยเท่านั้นเอง

ปรอทจากน้ำครำ เป็นปรอทสกปรกเช่นกัน แต่อาศัยการดักจับ อาจารย์โยธินกล่าวถึงประสบการณ์ว่าสมัยก่อนหากันได้ง่าย เพียงแค่เราล้างจานเอาเศษข้าวเททิ้งหน้าบ้านตกกลางคืนคุณตาจะชี้ให้ดูว่ามันเกิดพรายปรอทเป็นแสงเรืองๆตรงกองข้าวที่เราเททิ้งไว้ นั่นหละปรอทมันลงมากิน ถ้ามีเวลาก็เอาไข่ดิบเจาะรูวางไว้บริเวณดินเลนปรอทก็จะลงมากินเช่นกัน

ปรอทจากสินแร่ ปรอทพวกนี้พบจากการขุดแร่อย่างทองแดง นอกจากนี้ยังพบจากการขุดแร่เหล็ก หรืออย่างแร่เขาอึมครึมบางก้อนจะมีแร่ปรอทไหลผสมอยู่ภายใน มีลักษระเงางามแปลบปลาบมากกว่าพวกที่ไม่มีปรอทสีจะออกเทาดำ มากกว่าดำเป็นนิล ถ้าเหล็กไหลเขาอึมครึมก้อนไหนมีปรอทในตัวมากเป็นพิเศษจะมีอานุภาพทางล่องหนหายตัว และกันไข้ป่าเขี้ยวงาอสรพิษมากกว่าก้อนธรรมดาทั่วไปซึ่งไม่มีปรอทเข้าแทรก

ปรอทจากแร่ยังพบในแร่บางไผ่ ซึ่งเป็นแร่เหล็กไหลน้ำอย่างหนึ่ง มันเป็นแร่เหล็กตามธรรมชาติที่เนื้อในของแร่ชนิดนี้มีปรอทซึมอยู่ตามธรรมชาติ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมแร่ชนิดนี้จึงต้องกินน้ำคาวปลา ก็เพราะปรอทที่อยู่ภายในก้อนแร่มันต้องการจะกิน พบว่าแร่ก้อนไหนที่แตกหักจะมีพรายปรอทเกาะเป็นเลื่อมพรายสีขาวๆเรืองๆเห็นได้ชัดเจน เมื่อเอาก้อนที่แตกหักพ้นน้ำขึ้นมาปรอทภายในเนื้อแร่จะระเหิดหายไปในอากาศแต่นั้นไปก้อนแร่จะเริ่มผุจนกลายเป็นขี้ดิน

ปรอทจากว่าน เพราะว่านหลายชนิดดูดหรือดึงปรอทเข้าไว้ในตัวตามธรรมชาติรวมถึงต้นไม้บางชนิดอย่างต้นหนาดก็มีพรายปรอทอยู่ตามหลังใบและรากรวมถึงแก่น ต้นหนาดจึงเป็นที่หวาดกลัวของผียิ่งนัก หรืออย่างว่านพะตะบะก็เช่นกัน

ในบรรดาแร่และว่านที่มีปรอทแทรกอยู่ภายในจะมีฤทธิ์เป็นพิเศษคือยามคืนเดือนเพ็ญจะสามารถเรืองแสงสว่าง ถ้ามีฤทธิ์มากปรอทภายในจะถอดตัวออกมาหากินได้ อย่างแร่บางไผ่ก็สามารถแสดงฤทธิ์เป็นดวงไฟลอยไปหากินหรือลอยมาเล่นแสงจันทร์เช่นเดียวกันกับว่านโพงซึ่งมีปรอทอยู่ภายในสามารถถอดเจตสิกเป็นดวงลอยไปหากินได้

ปรอทจากหมอก เป็นปรอทบริสุทธิ์ มีฤทธิ์ร้าย ปรอทพวกนี้ชอบกินเกสรดอกไม้ โดยเฉพาะจากดอกไม้ที่มีพิษอย่างต้นลำโพง เราสามารถสัณนิฐานได้อย่างหนึ่งว่าปรอทเป็นภูติ เป็นชีวภูติที่ต้องการสร้างตบะสร้างฤทธิ์ให้ตนเอง จึงชอบแสวงหาว่านยาอาหารและพิษมาสะสมไว้ ทั้งหมดก็เพื่อให้ตัวมันมีอำนาจ และคงเป็นธรรมชาติที่ปรอทมีอำนาจสามารถดูดกลืนและกัดกินสารพัดสิ่งได้ อย่างไม่ต้องกลัวใคร

ดอกลำโพงเป็นดอกไม้ที่ปรอทชื่นชอบ อาจารย์โยธินกล่าวว่าหากใครมีวาสนาได้ดอกลำโพง ๕ ชั้น จะมีอำนาจฆ่าพิษปรอทได้และยามที่มันออกดอกบานขึ้นมาก็สามารถดักปรอทหมอกจากดอกลำโพง กลีบซ้อน ๕ ชั้นได้เช่นเดียวกัน

ปรอทจากป่าช้า มันเป็นปรอทพวกเดียวกันกับปรอทน้ำครำ แต่มีฤทธิ์สูงกว่าเยอะเนื่องจากมันผ่านการกินศพคน ไอปราณจากศพมนุษย์ที่ซึมอยู่ภายในตัวมัน น้ำเลือดน้ำเลืองเนื้อมนุษย์ที่ถูกมันย่อยจนกลายเป็นพลังชีวิตในตัวมันเมื่อถูกสะสมนานวันเข้าทำให้มันมีตบะเดชะ ภูติผีปีศาจจะกลัวปรอทประเภทนี้มาก เพราะรู้ดีว่ามันกินศพถือว่าแพ้ทางกันโดยธรรมชาติปรอทประเภทนี้จะพัฒนากลายเป็นภูติร้ายที่มีฤทธิ์ต่อไป

ปรอททะเล เป็นประเภทเดียวกันกับปรอทน้ำครำ แต่มีฤทธิ์มากกว่า เพราะผ่านการเสพแร่ธาตุในทะเลซึ่งทำให้เกิดตบะเดชะมากกว่าปรอทน้ำครำที่เสพแต่ของเน่าเหม็น ไม่เกิดตบะเดชะขึ้นมาได้ ปรอททะเลเมื่อเกิดตบะมาขึ้นก็พัฒนาเป็นภูติร้าย เป็นพรายทะเลที่ดูดเลือดคนสัตว์กินได้

ปรอทลงโป่ง เป็นปรอทที่พบตามโป่งดิน โป่งคือดินที่มีแร่เกลืออยู่ภายในสัตว์มักลงมากินยามค่ำคืนถือว่าเป็นยาอย่างหนึ่งของสัตว์ป่า นายพรานมักมาจังหวะมาดักยิงสัตว์ป่าบริเวณโป่งเมื่อสัตว์โดนยิต้องมีเลือดบ้างก็ล้มตายแถวนั้น พวกปรอทป่าจึงมักมาลงที่โป่งเพื่อเสพเลือดสัตว์ป่าที่หยดลงมานานวันเข้าพัฒนาตัวเองเป็นผีโป่ง ซึ่งบางคนเข้าใจว่าผีโป่งคือวิญญาณสัตว์ป่าที่ถูกยิง แต่ความจริงไม่ใข่ มันคือปรอทป่าที่มาลงโป่งเมื่อมันได้เสพเลือดเนื้อของสัตว์มากเข้าก็พัฒนาเป็นผีโป่งลอยไปหากินหรือแปลงร่างเป็นคนเป็นสัตว์ได้

ปรอท นอกจากมีชีวิตพื้นฐานของมัน ปรอทป่า ปรอทธรรมชาติจำนวนมากยังมีวิญญาณของเจ้าป่า เจ้าที่ เข้าควบคุมเป็นเจ้าของ เนื่องจากวิญญาณที่มีฤทธิ์ระดับเจ้าพ่อเจ้าแม่เมื่อได้ปรอทมาเป็นบริวารก็จะยิ่งมีอานุภาพมาขึ้น ดังนั้นดวงปรอท ดวงพรายที่ลอยหากินบางครั้งไม่ได้เกิดจากอำนาจปรอทเพียงอย่างเดียใ แต่หมายถึงมีวิญญาณของเจ้าพ่อเจ้าแม่เจ้าที่เจ้าป่าคอยกำกับอยู่เสมอ

ปรอท ถือว่าเป็นญาติใกล้เคียงกับเหล็กไหล มันคือสิ่งมีชีวิตในเครือเดียวกัน เมื่อพัฒนาให้ปรอทกลายเป็นปรอทบริสุทธิ์สูงสุดก็จะมีอำนาจประดุจเดียวกันกับเหล็กไหลชั้นยอดทุกประการ ดีไม่ดีจะมีอำนาจสูงกว่าด้วยซ้ำไป




ปรอทกรอ เป็นวิชาปรอทที่ซัดปรอทขึ้นรูปเป็นเม็ดกลมๆแล้วบรรจุเข้าสู่ลูกโลหะ เมื่อเอาปรอทกรอมากลิ้งดูจะได้ยินเสียงกริ๊งๆ ครืดๆ ตามแต่ปรอทที่ซัดไว้จะเป็นชั้นใด หากเป็นปรอทซัดชั้นยอดเสียงที่กังวานออกมาจากปรอทกรอจะกังวานไพเราะเป็นอย่างยิ่ง ความสำคัญของปรอทกรอก็อยู่ที่การหาปรอทซัดขึ้นรูปนี่เองและจะซัดปรอทได้ระดับใด ยิ่งเป็นปรอทชั้นสูงก็ยิ่งทำให้ปรอทกรอมีอานุภาพมากขึ้นตามลำดับ

ส่วนอานุภาพของปรอทกรอ มีตั้งแต่ส่งสัญญาณเตือนภัยได้ เป็นทั้งแคล้วคลาดคงกระพันหนังเหนียว กันไข้ป่า กันคุณไสยภูติผีปีศาจ ค้ำชูดวงชะตา เป็นเมตตามหานิยมในตัวด้วย เรียกว่ามีอานุภาพครอบจักรวาลคือดีในทุกๆด้านนั่นเอง แม้กระทั่งการนำปรอทกรอมานั่งสมาธิกรรมฐานกำหนดจิตตามลูกปรอทที่สั่นไปมาในเบ้าก็ทำให้เกิดสมาธิได้ดียิ่ง

ปัจจุบันปรอทกรอหายากมากครับ สมัยก่อนโด่งดังจากการพบปรอทกรอที่กรุศรีเทพ เมืองปราจีน และการพบปรอทกรอตามกรุวัดร้างแถบอยุธยาและสุโขทัย เดี๋ยวนี้หาผู้ทำปรอทกรอ ยากเพราะขาดความรู้ทางเล่นแร่แปรธาตุครับ

ปรอทธาตุกายสิทธิ์ เมื่อหุงขึ้นรูประดับแรกเรียกว่า ทนสิทธิ์ หมายถึงอำนาจแห่งความคงกระพันหนังเหนียว ไม่เสื่อม ของคงกระพัน ชั้นทนสิทธิ์ ตามตำราไสยศาสตร์กล่าวไว้ว่ามีอยู่หลายชนิด เช่นเหล็กน้ำพี้ก็เป็นของทนสิทธิ์ เด่นเรื่องคงกระพันล้างอาถรรพณ์ ตะกั่วเถื่อน ทองแดงเถื่อนก็เป็นธาตุทนสิทธิ์มีอิทธิฤทธิ์ทางคงกระพันเช่นกัน รวมไปถึงโคตรเหล็กไหลประเภทต่างๆก็เป็นทนสิทธิ์และของดีหายากอย่าง กะลาตาเดียว ไม้ตะเคียนหิน คตวิเศษต่างๆ ก็เป็นของทนสิทธิ์ตามธรรมชาติเช่นกันมีไว้กับตัวย่อมเป็นคงกระพันชั้นเลิศและไม่มีวันเสื่อมฤทธิ์ ผิดที่ว่าทนสิทธิ์จากปรอทนั้น ผู้ที่หุงหากได้รับธาตุรับยาและรังสีจากปรอทวิเศษชั้นทนสิทธิ์ จะทำให้เส้นผผม หนวดเครา และกระดูกเป็นทองแดง เนื้อหนังคงกระพันยิ่งนัก แถมยังมีเรี่ยวแรงมหาศาลอีกด้วย ปรอทชั้นที่สองเหนือกว่าทนสิทธิ์ขึ้นไปเรียกว่า กายสิทธิ์ ชั้นนี้ตัวเบาไม่ร้อนไม่หนาว อยู่ที่เย็นร่างกายก็อุ่นพอดี อยู่ที่ร้อนก็กลับเย็นสบาย ร่างเบาตัวเบา ถึงขนาดตกน้ำไม่จม ตกจากยอดตาลหรือยอดตึกก็ไม่เป็นอะไร แม้โดนถ่วงน้ำด้วยหินก็ไม่ตายเพราะอำนาจกายสิทธิ์จะสามารถทำให้อยู่ในน้ำได้อย่างสบาย หรือโดนไฟก็ไม่ไหม้เพราะอำนาจกายสิทธิ์คุ้มครองโดนไฟก็รู้สึกเพียงอุ่นๆเท่านั้น อำนาจชั้นกายสิทธิ์นี้แร่ตามธรรมชาติที่มีอำนาจทางด้านนี้ก็มีเหล็กไหลชั้นยอด ส่วนแร่ชนิดอื่นๆที่มีอำนาจใกล้เคียงแบบนี้ยังไม่ปรากฏพบ ปรอทชั้นยอดขึ้นไปเรียกว่า อะโลมะประสิทธิ์ มีอานุภาพถึงกับเหาะเหิรเดินฟ้าไปป่าหิมพานต์ได้ หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวันเล่าไว้ว่าสมัยก่อนแถวบ้านท่านเคยมีโยคีอินเดียลอยลิ่วตกลงมาจากฟ้า สมภารข้างบ้านรับตัวไว้รักษา โยคีท่านเล่าไว้ว่าท่านเหาะมากับเพื่อนตัวท่านเหาะมาด้วยฤทธิ์ปรอทสำเร็จ ส่วนเพื่อนใช้ฌานสมาบัติ ขณะเหาะมาเกิดการโต้เถียงกัน ปรอทหลุดออกจากปากท่านทำให้ท่านตกลงมาเช่นนี้ดีที่ไม่ตายแค่ขาหักเท่านั้น ก่อนจะจากกันโยคีท่านนี้ให้ตำราการหุงปรอทไว้ ส่วนโยคีก็หุงปรอทจนสำเร็จแล้วลาไปเมืองฟ้าป่าหิมพานต์ เรื่องนี้มีรายละเอียดพิสดารกว่านี้มาก ผู้นำมาเผยแพร่คือท่านอาจารย์สิทธา เชตวัน ตีพิมพ์ในโลกทิพย์เมื่อปี ๒๕๒๕ แสดงไว้ว่าการหุงปรอทนั้นมีจริงมีคนทำได้จริงแต่ต้องมีพลังจิตสูงมากจึงทำได้สำเร็จ นำมาลงไว้เป็นหลักฐานและวิทยาเพื่อการค้นคว้าเรื่องปรอทต่อไปครับ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น